ตำบลกระสุนตก “ธนาธร” ฝ่าสารพัดขวากหนาม ทำอะไรก็ผิด

ห้ามลงสมัครรับเลือกตั้ง

ห้ามตั้งพรรคการเมือง

และห้ามแทรกแซง หรือมีอิทธิพลครอบงำพรรคการเมือง

3 สิทธิที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) รวม 16 ชีวิต ถูกตัดขาดเป็นระยะเวลา 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรค อนค. กรณีเงินกู้ 191.2 ล้านบาท

แต่สิทธิและเสรีภาพความเป็นพลเมืองและความเป็นคนยังมีอยู่ครบทุกประการ นายธนาธรและพวกยังสามารถใช้สิทธิอื่นๆ ที่เหลือได้ ทั้งแสดงความเห็นเรื่องทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง หรือแม้กระทั่งการไม่เห็นด้วยกับการบริหารงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้

คือ อะไรที่ไม่ได้ห้ามไว้ ก็ทำได้ภายใต้กรอบกฎหมายและรัฐธรรมนูญ

แต่เพราะการอยู่ในประเทศที่มีรัฐธรรมนูญ “ฉบับที่ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา” อย่างที่มีใครบางคนเอ่ยนั้น อะไรมันก็เกิดขึ้นได้หมด

 

หากจำกันได้ ในวันที่ศาลดับ “อนาคตใหม่” นายธนาธรลั่นกลองรบ ประกาศตั้ง “คณะก้าวหน้า” แบบทันที ไม่ได้ยอมจำนนต่อโชคชะตา ขอใช้สิทธิและเสรีภาพที่มี เดินหน้าทำงานการเมืองและปักธงความคิด เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ “ก้าวหน้า” ตามอุดมการณ์ที่เข้ามาเล่นการเมือง

ส.ส.อดีตอนาคตใหม่กว่า 54 คน ต้องระหกระเหินไปอยู่พรรคที่ตั้งมารองรับคือพรรคก้าวไกล (ก.ก.) แม้จะมีบางส่วนที่หลุดหายไปบ้างระหว่างการเปลี่ยนผ่านก็ตาม

คณะก้าวหน้าคือกลุ่มที่จัดตั้งขึ้นจากการรวมตัวของผู้คนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน งานหลักคือการขับเคลื่อนการเมืองท้องถิ่น เพราะนายธนาธรเชื่อว่า หากการเมืองท้องถิ่นเข้มแข็ง ประชาธิปไตยระดับประเทศก็จะเข้มแข็งตามไปด้วย

เมื่อรัฐบาลเคาะระฆังส่งสัญญาณให้จัดเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) คณะก้าวหน้าก็ได้ส่งผู้สมัครนายกและสมาชิกสภา อบจ. ลงชิงชัยกว่า 42 จังหวัด ครอบคลุมทุกภาคของประเทศไทย

นายธนาธรเคยบอกว่า หากให้เวลาอีก 3 เดือน เชื่อว่าจะสามารถส่งครบทั้ง 76 จังหวัด นาทีนี้ไม่มีเหนียมกันแล้ว

ระหว่างตะลอนเดินสายรณรงค์หาเสียงตามพื้นที่ต่างๆ เหนือ ใต้ กลาง อีสาน ออก ตก กระแสตอบรับจากประชาชนก็เทมาแบบล้นหลาม

ตัวแกนนำอย่าง “ธนาธร” “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการคณะ และ “น.ส.พรรณิการ์ วานิช” กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า ยังเป็นที่รู้จักอยู่พอสมควร

อีกทั้งการห่างหายจากการเลือกตั้งท้องถิ่นมานานหลายปีหลังการยึดอำนาจของ คสช. ทำให้ชาวบ้านเบื่อหน่ายกับการบริหารงานของผู้บริหารท้องถิ่นมากมายเหลือคณา จึงแสวงหา “สิ่งใหม่” เผื่อมันจะดีกว่าที่เป็นอยู่บ้าง

กลิ่นไม่ดีเริ่มลอยฉุยๆ เมื่อมีม็อบต้านมายืนถือป้าย หนักขนาดด่าทอนายธนาธรและคณะว่าชังชาติ และสร้างความแตกแยกให้ประเทศ

จนเมื่อเดือนพฤศจิกายน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ คู่ปรับเก่าก็ยังตามมาหลอกหลอน ไปร้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ตรวจสอบคณะก้าวหน้า กรณีส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งนายกและสมาชิกสภา อบจ. อาจเข้าข่ายผิด พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 กฎหมายฉบับเดียวกันกับคดียุบพรรค อนค.

ต่างกันที่ครั้งนี้ เป็นมาตรา 111 ที่กำหนดว่า “ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปดำเนินกิจกรรมทางการเมืองที่มีลักษณะคล้ายกับพรรคการเมือง อาจต้องโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมทั้งอาจต้องถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี” ขนาดไม่ได้เป็นพรรคแล้ว ก็ยังถูกกฎหมายพรรคการเมืองเล่นงานอีก

กกต.ก็ทำงานเข้าขา ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงแบบทันควัน

หากโดนฟันด้วยข้อหานี้ จะไม่ใช่แค่กรรมการบริหารคณะที่โดน แต่ผู้สมัครทั้งหมดซึ่งอาจจะโดนหางเลขถูกตัดสิทธิการสมัครไปด้วย

 

อนาคตกำลังรุ่ง ก็ดูเหมือนจะหม่นๆ ทันที เพราะขณะที่นายธนาธรกำลังช่วยผู้สมัครหาเสียง การชุมนุมของเยาวชนคนรุ่นใหม่และประชาชนทั่วไปก็ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด

แต่ไม่พ้นมีชื่อ “ธนาธร” ถูกโยงว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังคอยชักใยให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ออกมาลงถนนเคลื่อนไหวทางการเมือง จนทำให้สังคมวุ่นวายและแตกแยก

แต่หากได้ไปฟังการปราศรัยหรือพูดคุยกับผู้ชุมนุมจะรู้ว่า พวกเขาไม่ได้อยากให้ชื่อของนายธนาธรเข้ามาเกี่ยวข้องกับขบวนการพลังบริสุทธิ์เลย เพราะต้องการประกาศให้ผู้มีอำนาจได้รู้ว่า ที่ออกมาประท้วงกันเย้วๆ นั้น “คิดเอง” ไม่ใช่ถูกใครจูงจมูกอย่างที่กล่าวหากัน

เด็กประกาศขนาดนี้แล้วก็ไม่รู้จะมีใครเชื่อไหม

 

ไม่หมดเพียงเท่านี้ เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมมีการขอให้สอบสวนตำรวจเจ้าของสำนวนคดี ที่มีความเห็นไม่ฟ้องนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด น้องชายของนายธนาธร กรณีให้เงินเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 20 ล้านบาท แลกกับการได้สิทธิเช่าที่ดินระยะยาวบริเวณองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ย่านชิดลม ซึ่งเป็นทรัพย์สินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ชื่อเดิม) โดยไม่ผ่านการประมูลแข่งขันตามขั้นตอนปกติ

จนล่าสุด ผู้บังคับการกองปราบปราม (ผบก.ป.) ออกมายืนยันว่า ยังคงติดตามและแสวงหาหลักฐานอย่างต่อเนื่อง และหากพบว่ามีความผิดก็จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เป็นนัยว่า ถ้าพบว่าผิด ก็ไม่รอดแน่นอน

เป็นความเชื่อมโยงไปถึงคนในครอบครัวของนายธนาธรอีกครั้ง

 

เคราะห์กรรมยังไม่หมด เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน ที่เกิดฝนตกหนักจนน้ำท่วมพื้นที่ภาคใต้หลายจังหวัด ทั้งพัทลุงและนครศรีธรรมราช เริ่มแรกคนส่วนหนึ่งอาจจะชี้นิ้วประณามรัฐบาลที่ไม่มีแผนรองรับหรือระบายน้ำอย่างทันท่วงทีจนเกิดอุทกภัยรุนแรงถึงขั้นมีผู้เสียชีวิต

แต่ไม่นานก็มีการปล่อยคลิปเมื่อครั้งที่นายธนาธรนั่งเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 สัดส่วนพรรค ก.ก.

โดยจากโพสต์ของเพจ The METTAD ได้ระบุแคปชั่นว่า “ธนาธรเสนอเลื่อนโครงการ ตัดงบ ลดงบป้องกันน้ำท่วมนครศรีธรรมราช” หวยเลยเปลี่ยนมาออกกับนายธนาธร แทน พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งที่ทัวร์กำลังเริ่มลง เมื่อรัฐบาลกำลังแง้มจะเปิดรับเงินบริจาคจากประชาชน เปิดโอกาสให้ร่วมใจทำความดี นำเงินไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม

กระแสโจมตีตอบกลับค่อนข้างแรงพอควร เพราะเป็นเรื่องความเดือดร้อนของประชาชน

 

ประมวลเหตุการณ์ที่นายธนาธรต้องประสบเจอข้างต้นแบบทั้งขึ้นทั้งล่อง เป็นการตั้งข้อสังเกตว่า มีความพยายามสกัดนายธนาธรทุกช่องทาง เพื่อไม่ให้ชนะเลือกตั้ง อบจ.ในวันที่ 20 ธันวาคมนี้ ไม่ให้ได้ผุดได้เกิดในเส้นทางการเมือง

เพราะก่อนหน้านี้ที่ได้เป็น ส.ส.ก็ได้รับความนิยมมากมาย ถึงขนาดเชียร์ให้เป็นนายกฯ มาพัฒนาบริหารบ้านเมือง แต่เข้าสภาได้ไม่กี่นาที ก็เป็นอันต้องออกจากห้องประชุม หยุดปฏิบัติหน้าที่แบบช็อกคนทั้งประเทศกันมาแล้ว

พอมาครั้งนี้กระแสท้องถิ่นกำลังจะรุ่งโรจน์ ไม่รู้ว่าจะถูกยิงจนร่วงเหมือนเดิมอีกไหม

ในทำนองทำอะไรก็ผิด