จัตวา กลิ่นสุนทร : อย่าให้ “ประวัติศาสตร์” ซ้ำรอย

สําหรับคนมีประสบการณ์ทางการเมืองมายาวนานผ่านเหตุการณ์ไม่แตกต่างในปัจจุบันย่อมหนีไม่พ้นต้องเกิดความรู้สึกวิตกกังวลว่า (อาจ) จะเกิดสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ในประเทศชาติของเราซ้ำขึ้นอีก

ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2563 เป็นต้นมา จนถึงเช้าตรู่วันที่ 15 ตุลาคม 2563 ซึ่งรัฐบาลใช้ตำรวจบุกจู่โจมเข้าจับกุมแกนนำ “ราษฎร 2563” พร้อมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงนามประกาศ “สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพมหานคร” ส่อแววว่ารัฐบาลต้องการเล่นไม้แข็ง รุนแรงกับกลุ่มผู้ชุมนุมมากกว่าเลือกเดินทางสายประนีประนอมด้วยการลดตัวลงมาหาทางเจรจาพูดคุย

สิ่งที่เป็นเหตุผลสนับสนุนตามมาในค่ำคืนวันที่ 16 ตุลาคม 2563 เมื่อตำรวจนำกำลังตำรวจตระเวนชายแดนพร้อมโล่ และรถฉีดน้ำผสมสี ผสมสารเคมีเข้าสลายการชุมนุมนักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชนที่บริเวณสี่แยกปทุมวัน

รัฐบาลยังคงคิดว่าถ้าหากมีการจับแกนนำที่ขึ้นเวทีปราศรัยสักชุดหนึ่ง พร้อมใช้กำลังเข้าทำการสลายการชุมนุม (ด้วยความรุนแรงเกินกว่าเหตุ และผิดหลักสากล) อาจทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมฝ่อสลายตัวไปได้

แต่ทุกอย่างตรงกันข้าม รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมทีมงานไม่รู้ว่าไปปรึกษากับใครมา จึงตัดสินใจผิดมาตั้งแต่เริ่มต้น รวมทั้งการประเมินกลุ่มผู้ชุมนุมผิดพลาด บนความเชื่อเก่าๆ

ไม่แตกต่างจากรัฐบาลเผด็จการทุกๆ ชุดที่ผ่านมาของแผ่นดินนี้ต่างเน้นการใช้กำลังปราบปรามตลอดมา และก็ไม่เคยประสบความสำเร็จสักครั้ง (นอกจากการสูญเสียทรัพย์สิน ชีวิตเลือดเนื้อ) สุดท้ายรัฐบาลที่แข็งแกร่งเนื่องจากคุมอำนาจการบริหารไว้อย่างเบ็ดเสร็จ พร้อมกองทัพ และตำรวจ ก็มีอันเป็นไป (พัง) ทุกหนทุกที แต่กลับไม่มีใครจดจำ

ท่านที่ปรึกษารอบๆ ตัวผู้มีอำนาจทั้งหลายที่พยายามเกาะเกี่ยวเหนี่ยวติดเก้าอี้เพื่อประโยชน์ส่วนตนล้วนแล้วแต่ไม่มีใครคัดค้าน ได้แต่สอพลอหนุนส่ง โดยเฉพาะ ส.ส.น้ำเน่า 3-4 คนที่เอ่ยชื่อขึ้นมาทุกคนต้องร้องยี้ (เพราะบางคนเป็น ส.ส.ประเภทไหนตัวเองยังไม่รู้) ออกหน้าชนไปทุกที่ผิดๆ ถูกๆ เพื่ออวย พล.อ.ประยุทธ์ ล้วนแต่ปัญญานิ่มจนถูกเด็กถอนหงอกตอกหน้านับว่าเป็นเรื่องอันตรายที่สุด

 

หลังรัฐบาลประกาศถอยคนละก้าวพร้อมเสนอเปิดสภาสมัยวิสามัญเพื่อพูดคุย ซึ่งในที่สุดไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้ แต่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เสนอตั้ง “คณะกรรมการสมานฉันท์” ขึ้น ในที่สุดท่านชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา รับลูกมาดำเนินการให้สถาบันพระปกเกล้า ไปคิดรูปแบบ ทำท่าว่าจะได้ “อดีตนายกรัฐมนตรี” มาร่วมปรึกษาหารือพูดคุยช่วยกันหาทางออกประเทศที่กำลังประสบกับปัญหาวิกฤตหนักหน่วง

อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ท่านชวน หลีกภัย เชื้อเชิญเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการสมานฉันท์ คือท่านอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี (ขัดตาทัพ-คนที่ 17) 2 สมัย ท่าน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ (คนที่ 22) ท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (อดีตนายกฯ-คนที่ 27) และท่านสมชาย วงศ์สวัสดิ์ (อดีตนายกฯ คนที่ 26) ซึ่งได้มีการตอบรับกันมาแล้ว

แต่องครักษ์พิทักษ์ พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งที่เป็น ส.ส.และไม่ใช่ รวมทั้งที่ได้เป็น ส.ส.ด้วยการช่วยกันผลักดันโดยใช้อภินิหารทางกฎหมาย ต่างเรียงหน้าออกมาคัดค้าน

บางคนเบอะบะ (ข้ามรุ่น) พูดถึงคุณอานันท์ ว่า (หรือ) คงอยากเป็นนายกรัฐมนตรีขึ้นมาอีก?

ส.ส.อีกคนไม่เห็นด้วยเพราะอดีตนายกรัฐมนตรีเหล่านี้อยู่ตรงข้ามกับ พล.อ.ประยุทธ์ สูงวัยเก่าแก่หมดสภาพไม่ทันยุคสมัย ควรเอาไปดองเค็มแล้ว จะมาแก้ปัญหาการเรียกร้องของนักเรียน นิสิต นักศึกษาได้หรือ?

พร้อมตั้งคำถามถึงท่านชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ว่า เอาอำนาจอะไรมาเชื้อเชิญชักชวนอดีตนายกรัฐมนตรี

องครักษ์บางคนไปไกลถึงขนาดจะฟ้องร้องคณะกรรมการ—ไปโน่น

 

ถ้าจะเทียบเคียงคุณวุฒิการศึกษา วิสัยทัศน์ ชีวิต และผลงานของอดีตนายกรัฐมนตรีเหล่านี้ กับ พล.อ.ประยุทธ์ ฟันธงได้เลยว่าทุกท่านไม่ได้ด้อยหรือเป็นรองอะไรเลย ตรงกันข้ามดูเหมือนจะเหนือกว่าในทุกมิติ เว้นแต่ไม่ได้เป็นทหารเท่านั้นเอง

เส้นทางของคณะกรรมการสมานฉันท์ หรือจะเรียกอะไรก็ตาม ทำท่าว่าจะไม่ค่อยราบรื่น ซึ่งจะเอากันจริงๆ ถึงจะสามารถแต่งตั้งขึ้นมาได้ มีการเจรจาปรึกษาหาทางออกจนสำเร็จเรียบร้อย ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะมีอำนาจไปดำเนินการอะไรได้ หรือเสนอไปให้รัฐบาลแล้ว รัฐบาลนิ่งเฉยมันก็ไม่มีประโยชน์ เสียเวลา เสียอะไรต่อมิอะไรเปล่าๆ

เวลาเดียวกันกลุ่ม “ราษฎร 2563” ยังยืนยันข้อเรียกร้อง 3 ข้อเช่นเดิม และไม่ขอเข้าร่วมวงสนทนา “กรรมการสมานฉันท์” โดยเฉพาะต้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ “ลาออก” ไปทันทีเพราะเป็นตัวปัญหา เป็นศูนย์กลางของความขัดแย้ง

แต่ พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันว่าไม่ลาออก และมีท่าทีเหมือนจะประนีประนอมมากขึ้นกับมวลชนที่ออกมาชุมนุมขับไล่

แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่เป็นอย่างนั้น ยังมีการดำเนินการออกหมายเรียก หมายจับพร้อมอายัดตัวแกนนำผู้ชุมนุมที่ได้รับการปล่อยตัวอย่างต่อเนื่องแม้จะเกิดการเจ็บป่วยพักรักษาอยู่ในโรงพยาบาล

ตำรวจยังผลิตหมายเรียก ขอหมายจับแจ้งข้อหามากมายจนนักกฎหมายต่างวิพากษ์วิจารณ์ว่าค่อนข้างจะมากเกิน โดยไม่มีคุณธรรมสอดแทรกอยู่เลย เพียงเพื่อจะหยุดยั้งกลุ่มผู้ชุมนุมให้ได้ (หรือตามคำสั่ง)

 

การก่อตัวขึ้นของม็อบนักเรียน นิสิต นักศึกษาครั้งนี้ ในปี พ.ศ.2563 นี้ ไม่เหมือนในอดีตที่ผ่านๆ มา แต่ผู้มีอำนาจรุ่นเก่าดั้งเดิมยังมีความคิด และมองว่ามีท่อน้ำเลี้ยงสนับสนุนทางด้านการเงินจากอดีตนักการเมือง นักการเมืองรุ่นใหม่ จนถึงองค์กรจากต่างประเทศ ถ้าหากสามารถตัดตรงจุดนั้นได้ ผู้ชุมนุมจะฝ่อจนถึงสลายไปเอง

4-5 เดือนที่ผ่านมาจากม็อบกลุ่มต่างๆ ได้หลอมรวมเป็นมวลชนมหาศาลในนาม “ราษฎร 2563” ซึ่งมิได้จำกัดอยู่แค่นักเรียน นิสิต นักศึกษาเท่านั้น ประชาชนทั่วไปซึ่งมองเห็นความล้มเหลวในการบริหารของรัฐบาล หรือประสบกับความยากจนไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ตั้งแต่ปี พ.ศ.2557-2563 ต่างเข้าร่วมกันขับไล่ให้ออกไปเสียที

การเคลื่อนไหวของราษฎร 2563 ดำเนินไปอย่างเป็นระบบ อย่างไม่หยุดยั้ง ถึงแม้จะถูกเบี่ยงเบนไปยังเป้าอื่นโดย พล.อ.ประยุทธ์ทำท่าลอยตัวเหนือความขัดแย้ง

พร้อมทั้งคณะผู้บริหารต่างพยายามงัดเอาวิชาดั้งเดิมเก่าแก่ด้วยการปลุกเร้าหลายวิธีให้ประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งออกมาชุมนุมต่อต้าน

เราจึงได้เห็นแกนนำคนเสื้อเหลืองหน้าเดิมๆ โผล่ออกจากกรุมาเพื่อแจ้งเกิดใหม่หาคะแนนนิยม หาประโยชน์กันพร้อมหน้า

 

ประชาชนคนสุจริตทั้งหลายต่างมีความรู้สึกไม่ชอบมาพากล ไม่สบายใจกับการปรากฏขึ้นของคนสองกลุ่มแบบคู่ขนาน หรือพร้อมๆ กัน เกรงว่าจะก้าวไปสู่การกระทบกระทั่งอย่างที่เกิดขึ้นบ้างแล้วที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งสามารถจะนำพาเหตุการณ์ไปจนถึงการปะทะกับแบบรุนแรง

โดยเมื่อถึงวันนั้นจริงๆ ย่อมเป็นความชอบธรรมของกำลังทหารจากกองทัพที่จะออกมาแบบเป็นสูตรสำเร็จ เหมือนดังที่ผ่านๆ มา ซึ่งจะมีข้ออ้างถึงความชอบธรรมในการยึดอำนาจทำการ “รัฐประหาร”

ซึ่งยังมองภาพไม่ออกว่าถ้าหากเหตุการณ์อันไม่พึงปรารถนาดังกล่าวนี้เกิดขึ้นเหมือนอย่างในประวัติศาสตร์ กลุ่มผู้ชุมนุมที่มีอุดมการณ์ ประชาชนที่ไม่ทนอีกต่อไปคงจะลุกขึ้นมาคัดค้านต่อสู้ ไม่รู้ว่าประเทศชาติบ้านเมืองของเราจะยังเหลืออะไรอยู่อีกไหม?

สื่อยักษ์ใหญ่ระดับโลกของสหรัฐอเมริกาเสนอข่าวไปทั่วโลกว่าได้กลิ่นรัฐประหารในประเทศไทย โดยกองทัพไทยซึ่งมีนายพลมากถึง 1,600 คน เป็นเจ้าของที่ดินมากที่สุด กำลังวางแผนทำการปฏิวัติอีกครั้งโดยตั้งความหวังว่าประเทศไทยจะต้องกลับไปสู่ความสงบเรียบร้อยตามแนวความคิดของทหาร และกลุ่มอนุรักษนิยม

สื่อระดับโลกรายงานว่ากลุ่มที่ต้องการปฏิวัติรัฐประหาร “มันทำงานเหมือนกับกลไกของนาฬิกา คือ เดินตามเวลาอย่างแน่นอน และอย่างเที่ยงตรง”

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศที่กำลังเกิดวิกฤต ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอย เพราะเราจะไม่เหลืออะไรกันอีกเลย

นักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชนมือเปล่า จะเตรียมรับมือกับ “รัฐประหาร” ได้อย่างไร?