ต่างประเทศ : เกมชิงอำนาจมาเลย์

หันไปมองสถานการณ์การเมืองในมาเลเซียตอนนี้กำลังตกอยู่ในภาวะสั่นคลอนหนัก ที่เห็นความระส่ำระสายมาตั้งแต่ต้นปีจากความปั่นป่วนวุ่นวายในความพยายามชิงไหวชิงพริบ ชิงอำนาจกันระหว่างมูห์ยิดดิน ยัสซิน นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กับอันวาร์ อิบราฮิม หัวหน้าพรรคเคดิลันรักยัต และเป็นแกนนำกลุ่มปากาตันฮารัปปัน แนวร่วมฝ่ายค้าน ที่พยายามจะดันตัวเองขึ้นมาจัดตั้งรัฐบาลเพื่อขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีที่เขาหมายมั่นปั้นมือรอมานานหลายสิบปีให้ได้ แต่ยังไม่บรรลุผลสัมฤทธิ์เสียที

สถานการณ์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ยิ่งคุกรุ่นหนักหลังจากนายมูห์ยิดดินคว้าน้ำเหลวที่จะได้รับพระราชานุมัติจากสมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลลาห์ ชาห์ กษัตริย์แห่งมาเลเซีย ในการให้อำนาจประกาศใช้ภาวะฉุกเฉินเพื่อควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศที่กลับมาเผชิญการระบาดเป็นระลอกที่ 3 แล้วได้

ความล้มเหลวดังกล่าวของนายมูห์ยิดดิน ไม่เพียงทำให้ ส.ส.แนวร่วมฝ่ายค้านของนายอันวาร์ได้ทีถล่มซ้ำเรียกร้องให้นายมูห์ยิดดินลาออก

หากยังมีกระแสตีกลับจาก ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลเปริกาตันเนชั่นแนล (พีเอ็น) ของนายมูห์ยิดดินด้วยกันเองด้วย ที่พากันออกมากดดันอีกทางให้นายมูห์ยิดดินลาออก

 

ความเคลื่อนไหวนี้ยิ่งแสดงให้เห็นภาพความขัดแย้งที่ชัดเจนมากขึ้นในพรรคร่วมรัฐบาลของนายมูห์ยิดดินเอง หลังจากเมื่อเดือนก่อนนายอันวาร์เพิ่งออกมาท้าทายกล่าวอ้างว่าเขาสามารถรวบรวมเสียงสนับสนุนจาก ส.ส.ในสภาทั้งในฟากพรรคร่วมฝ่ายค้านด้วยกัน และ ส.ส.ฟากรัฐบาลที่แปรพักตร์ออกมาเข้าร่วมด้วย จนมากเพียงพอที่เขาจะนำเข้าเฝ้าทูลเกล้าฯ ถวายรายงานต่อกษัตริย์มาเลเซีย เพื่อให้ทรงเห็นชอบให้เขาเป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากชุดใหม่ที่แข็งแกร่งขึ้น แทนที่รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำของนายมูห์ยิดดินที่กุมเสียงข้างมากเกินกึ่งหนึ่งไปเพียงแค่ 2 เสียงเท่านั้น จากเสียงในสภาที่มีทั้งสิ้น 222 เสียง

การผลักดันของนายมูห์ยิดดินที่จะให้มีการประกาศภาวะฉุกเฉินในประเทศเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ถูกมองว่าเป็นแค่เพียงเกมการเมืองของนายมูห์ยิดดินในความพยายามที่จะกระชับอำนาจไว้ในมือ เพื่อป้องกันตนเองจากการถูกทดสอบฐานอำนาจที่ยึดกุมอยู่ในสภาในเวลานี้

และยังอาจเป็นการยื้อเวลาไม่ให้มีการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งก่อนวาระได้

 

พรรคอัมโนที่แม้จะร่วงหล่นจากอำนาจที่ยึดครองมาได้ยาวนานกว่า 60 ปี หลังจากพรรคอัมโนภายใต้การนำของนายนาจิบ ราซัก อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการใหญ่ในคดีทุจริตเงินกองทุน 1 เอ็มดีบี มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์อันอื้อฉาว ได้สูญเสียการกุมอำนาจรัฐไป หลังนำพรรคอัมโนพ่ายแพ้การเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ในปี 2018 ให้กับกลุ่มแนวร่วมปากาตาฮารัปปันของนายอันวาร์ที่จับมือเป็นพันธมิตรกับนายมหาธีร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็เดินเกมพลาด จนทำให้ตนเองร่วงจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ให้นายมูห์ยิดดินเข้ามาเสียบแทนก็ตาม

แต่ ณ วันนี้ พรรคอัมโนยังคงเป็นคีย์เพลเยอร์ ในฐานะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่ใหญ่ที่สุดในรัฐบาลพีเอ็นของนายมูห์ยิดดิน โดยกุมที่นั่ง ส.ส.อยู่ในสภาถึง 39 ที่นั่ง ทำให้พรรคอัมโนยังเป็นตัวแปรสำคัญในการชี้ชะตาของการช่วงชิงอำนาจรัฐบาล

มีรายงานข่าวที่อ้างแหล่งข่าว 3 รายในวงประชุมของกลุ่มบาริซัน เนชั่นแนล แนวร่วมพันธมิตรของพรรคอัมโน เมื่อวันจันทร์ที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา ให้ข้อมูลตรงกันว่านายนาจิบพยายามโน้มน้าวให้เพื่อน ส.ส.แนวร่วมพันธมิตรหันมาให้การสนับสนุนนายอันวาร์เป็นนายกรัฐมนตรี

ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนท่าทีที่ไม่เคยมีมาก่อนของนายนาจิบ ที่เป็นคู่ปรับทางการเมืองของนายอันวาร์มานาน

 

ปมหนึ่งที่ถูกมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนท่าทีของนายนาจิบ น่าจะมาจากจุดที่เหล่าแกนนำพรรคอัมโนมีความรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นในสถานะที่เป็นอยู่ของพรรคในรัฐบาล ที่เปรียบเสมือนเป็น “ไพ่สำรอง” ของพรรคนายมูห์ยิดดิน

โดยยังมีแกนนำพรรคบางคนอย่างนายนาจิบ ที่พยายามจะกอบกู้ความรุ่งโรจน์ของพรรคอย่างในอดีตกลับคืนมา

แต่แล้วในวันถัดมา อาหมัด ซาฮิด ฮามิดี ประธานพรรคอัมโน ออกมาประกาศท่าทีชัดเจนว่าพรรคอัมโนยังคงให้การสนับสนุนรัฐบาลมูห์ยิดดินต่อไป

เช่นเดียวกับพรรคปาส พรรคร่วมรัฐบาลอีกพรรคที่ก็เคยร่วมหัวจมท้ายกับนายอันวาร์มาก่อน ซึ่งมีเสียง ส.ส.ในสภาอยู่ 18 เสียง ได้ออกมาช่วยอุดรอยร้าวในรัฐบาลอีกทางด้วยการยืนยันสนับสนุนรัฐบาลมูห์ยิดดิน

หลังจากกษัตริย์มาเลเซียทรงออกมาร้องขอให้นักการเมืองวางความขัดแย้งแตกต่างที่มีอยู่เอาไว้ และหยุดการกระทำใดที่เป็นการสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาล ในขณะที่ต้องร่วมใจกันนำชาติบ้านเมืองฟันฝ่ากับวิกฤตโรคโควิดให้ผ่านพ้นไปให้ได้

อย่างไรก็ดี การโหวตในการประชุมเพื่อพิจารณางบประมาณประจำปี 2021 ของรัฐสภามาเลเซียที่จะมีขึ้นในวันที่ 6 พฤศจิกายนที่จะถึง จะเป็นอีกบททดสอบอำนาจในมือมูห์ยิดดินอีกครั้งที่ต้องจับตา