อุรุดา โควินท์ / ทางรอดอยู่ในครัว : เมื่อมีเด็กวิ่งในบ้าน

ฉันเคยสงสัย จะมีอะไรสู้กับพลังงานท้าวฮุ่ง-โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ของฉันได้ วันนี้ฉันได้คำตอบแล้ว เด็ก 3 คนนั่นไง

ตอนที่แม่เด็กๆ บอกให้ปล่อยหมาออกมาเล่นกับลูกของเธอ ฉันคิดอยู่นาน แต่เธอบอกแล้วบอกอีก เธอว่าเด็กๆ อยากเล่นกับหมา

“หมาพี่ไม่ค่อยน่ารัก พี่ไม่ได้ฝึกมันจริงจัง ไม่รู้วิธีเล่นกับคน แรงเยอะ พี่กลัวมันทำหลานเจ็บ” ฉันบอกเธอ

เธอบีบต้นแขนฉัน “พี่เชื่อหนู หนูรู้จักลูกหนูดี หมาพี่ต่างหาก ที่น่าเป็นห่วง”

จริงอย่างเธอว่า ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ท้าวฮุ่งก็นอนหอบแทบเท้าฉัน เด็กๆ เหรอ นู้น…ยังเล่นกันอย่างสนุกสนาน

ฉันลูบหัวฮุ่ง “ว่าไง นึกว่าจะแน่ แพ้น้องๆ เฉยเลย”

เธอหัวเราะ “ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดชนะความซนของลูกหนูได้ ก่อนมาที่นี่ แฟนหนูเตือนว่า อย่าพาเด็กมาเลย เดี๋ยวของพี่พัง”

บ้านของเราไม่ค่อยมีข้าวของอะไรนัก มันออกจะโล่ง และเด็กๆ ไม่เข้ามาวุ่นวายในบ้านหรือในบาร์เลย เด็กๆ ตื่นเต้นกับหมา ต้นไม้ ชิงช้า ก้อนหิน และทราย

ตอนนี้คนหนึ่งพยายามปีนต้นไม้ อีกสองคนวิ่งไล่กันรอบต้นไม้ ฉันมองเด็กๆ แล้วเพิ่งคิดได้-นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กในบ้านหลังนี้

 

“มีเด็กวิ่งเล่น ทำให้บ้านมีชีวิตชีวาไปอีกแบบนะ” ฉันบอกเธอ

เธอจ้องตาฉัน “พี่ไม่อยากมีลูกเหรอคะ”

นั่นสิ ทำไมนะ แต่ไหนแต่ไร ฉันไม่เคยคิดเรื่องนี้ “เด็กน่ารัก แต่พี่มองว่านี่เป็นงานหนัก เป็นงานที่ไม่มีวันจบ เป็นสิ่งที่พี่ยังไม่พร้อม ไม่พร้อมไป ไม่พร้อมมา ตอนนี้ ต่อให้พร้อม ก็คงไม่ทันแล้ว”

เธอเอียงคออย่างน่ารัก “ถ้าพี่มีลูก ลูกของพี่ต้องน่ารัก และอินดี้มากเลยละ”

ไม่แน่นักหรอก ลูกอาจไม่เหมือนฉันก็ได้ ดูแต่ฉันสิ ไม่มีอะไรที่เหมือนแม่เลย

“พี่คิดชื่อลูกไว้เล่นๆ ด้วยล่ะ ตลกมั้ย ชอบตั้งชื่อ ตั้งทั้งที่ไม่คิดจะมี” ฉันบอกเธอ

“ชื่ออะไรคะ บอกหนูได้มั้ย”

“สมิงพระราหู สำหรับเด็กชาย และเม้ยคะนอง สำหรับเด็กหญิง”

เธออ้าปากกว้าง “เข้าใจแล้ว พี่เลยเอามาตั้งเป็นชื่อบุ๊กคลับ กับชื่อน้ำพริก”

ฉันหัวเราะ “พี่มีลูกนะ เป็นสถานที่ และเป็นน้ำพริก” ฉันลุกขึ้น “กินข้าวกลางวันด้วยกันนะ พี่อยากทำอาหารให้เด็กๆ”

“หนูช่วยค่ะ” เธอว่า

 

อันที่จริงมันง่ายนิดเดียว ฉันทำซอสไว้แล้ว เป็นซอสซึ่งฉันมักมีติดตู้เย็น ทำอาหารได้หลายอย่าง ฉันเพิ่งตุ๋นมันฝรั่งไป แต่ซอสยังเหลือจำนวนมาก พอสำหรับทำมื้อกลางวันให้ทุกคน

“ใช้เวลาแป๊บเดียว แต่มาช่วยกันก็ดีนะ ได้คุยกันต่อในครัว” ฉันบอกเธอ ก่อนเดินนำเข้าครัว

ฉันถูกชะตากับเธอ บทสนทนาของเราลื่นไหลอยู่บนความให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่มากเกิน และไม่น้อยจนรู้สึกห่างเหิน

หุงข้าวก่อนเป็นลำดับแรก กินกับข้าวร้อนๆ ช่วยชูรสได้มาก

จากนั้นฉันหยิบซอสออกจากตู้เย็น ชูให้เธอดู “มีขวดนี้ เราทำข้าวหน้าเนื้อได้ ทำข้าวแม่ลูกได้ แต่วันนี้พี่จะทำข้าวหน้าหมู คือทำแบบข้าวหน้าเนื้อ แต่ใช้หมู เด็กๆ จะได้กินง่าย”

เธอยิ้มกว้าง “ลูกหนูต้องชอบแน่เลยค่ะ รสออกหวานๆ ใช่มั้ยคะ”

“พี่ทำหวานน้อย แต่ก็ยังมีรสหวาน” ฉันเทซอสลงถ้วยใบจิ๋วให้เธอชิม

“ทำจากอะไรบ้างคะ”

จ้องตาเธอ รู้สึกได้ว่าเธออยากทำเป็น โอเค ฉันเก็บขวดซอสเข้าตู้

“มาทำด้วยกัน ใช้เวลาแป๊บเดียว จะได้กลับไปทำที่บ้านได้”

 

หยิบหม้อใบเล็กออกมา ตวงซอส kikkoman ฝาเขียว กับ kikkoman ฝาแดงแบบ Light colour อย่างละ 1/4 ถ้วย ลงหม้อ ตามด้วยมิริน 1/4 ถ้วย สาเกทำอาหาร 3 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เกลือทะเล 1/2 ช้อนโต๊ะ น้ำเปล่า 1/4 ถ้วยตวง ผงซุปดาชิ 1 ช้อนโต๊ะ

หันมาบอกเธอ “แค่นี้เองค่ะ ตั้งไฟอ่อนๆ ให้เดือดปุดๆ น้ำตาลกับเกลือละลายแล้วก็ปิดเตา เก็บไว้ทำอาหารได้หลายชนิด”

“แต่ก่อนอื่นหนูต้องมีซอสพวกนี้” เธอว่า

ฉันพยักหน้า “ถูกต้องค่ะ”

ฉันส่งต้นหอมญี่ปุ่นให้เธอล้างและซอย ตัวฉันเองปอกหอมหัวใหญ่ แล้วหั่นเป็นเสี้ยวบางๆ จากนั้นฉันก็หยิบหมูมาหั่นเป็นชิ้นพอคำ

“พี่ใช้สันคอนะคะ นุ่มนวลดี หั่นไม่หนาไม่บาง ถ้าจะทำเป็นข้าวหน้าเนื้อ ก็เปลี่ยนเป็นเนื้อค่ะ” ฉันบอกเธอ

หยิบกระทะตั้งไฟ ผัดหอมหัวใหญ่กับหมูให้สุก เทซอสที่ทำไว้ลงไป ราดให้ชุ่มฉ่ำสักหน่อย พอทุกอย่างสุกเข้ากันดี ก็ปิดเตา

เธอเบิกตากว้าง “เสร็จแล้ว”

ใช่ แค่นี้เลย จากนั้นเราก็ตักข้าวใส่จาน ตักกับราดบนข้าว ราดลงไปมากๆ และโรยด้วยต้นหอมซอยเฉียง

“ไข่ดาวด้วยดีมั้ย” ฉันถาม

เธอรีบส่ายหัว “แค่นี้ก็พอค่ะ”

เราช่วยกันยกจานมาวางบนโต๊ะใต้ต้นลิ้นจี่ เห็นเด็กๆ กินอย่างเอร็ดอร่อย ฉันก็ชื่นใจ

อีกนั่นละ ครั้งแรกในบ้านหลังนี้ ที่ฉันทำอาหารให้เด็กเล็กๆ กิน