อนุสรณ์ ติปยานนท์ : อำลาป่า

ปากะศิลป์ฉบับอ่านใหม่ (50)
ป่าน้ำผึ้ง (15)

“เธออยู่ไหน กันเล่า

ถึงลืม ร้างไกล

หัวใจ รักเรา

ฉันคอย หลงเฝ้า

หลงกิน น้ำตา

เสาะหา เสียจน วุ่นวาย

ไม่เคย จะหน่าย

สิ้นสาย สวาท เอย”

สายสวาทยังไม่สิ้น คำร้องโดยสุรพล โทณะวณิก

 

“คุณพี่หมายความว่ากระไรครับที่ว่าป่าหาได้เปิดเผยตนเองให้กับคุณพี่อีกต่อไป?” มิตรสหายหนุ่มถามเพื่อนอาวุโสของเขา

“มันหมายความตรงตัวเช่นนั้น ตรงตามความหมายอย่างแท้จริง ทุกครั้งที่ผมบุกป่าฝ่าดงไปตามเส้นทางที่ผมคิดว่าน่าจะพาไปยังบ้านของแสงฉาน ผมจะกลับมาที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งเสมอ เป็นต้นสะบกที่มีความสูงสุดลูกหูลูกตา ในครั้งแรกผมคิดว่าผมจำต้นไม้ต้นนั้นผิดไป มันอาจเป็นต้นไม้ต้นใดก็ได้ในป่ารกชัฏเช่นนั้น แต่ครั้นผมลองถากสัญลักษณ์บนต้นไม้ด้วยการบากโคนต้นมันเป็นตำหนิ ผมจึงพบว่ามันเป็นต้นไม้ต้นเดิม วันแล้ว วันเล่า สัปดาห์แล้ว สัปดาห์เล่าที่ผมพยายามเช่นนั้น แต่ไร้ผล ไม่มีความคืบหน้าใดเลย ผมกลับมายืนอยู่ที่จุดเดิมทุกครั้งไป”

“เสมือนโลกของผมได้เคลื่อนที่เป็นวงกลม เป็นวัฏฏะ หากแต่เป็นวัฏฏะแห่งความผิดหวัง สิ้นหวัง พังพินาศ ผมกลับมาอยู่ที่เดิม ผมพักบ้านหลังเดิมที่ผมเคยพำนักเมื่อสิบปีก่อน พยายามจะตามหาแสงฉานคนรักของผมเหมือนเมื่อสิบปีก่อน ผมนอนที่กระดานพื้นไม้ผืนเดิม ผมหลับและฝันในเรื่องราวเดิมๆ ถึงความรักของตน”

“เพียงแต่ในครานี้เมื่อผมลงจากเรือน ใต้ถุนเรือนนั้นไม่มีสาวน้อยคนที่ผมใฝ่ฝันนั่งทอผ้าอยู่อีกต่อไป”

 

“ผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบันดูจะกังวลกับสภาพของผมและเรื่องราวที่ดำเนินไปอย่างมาก แน่นอน สำหรับเขา หากผมกลับเข้าไปในป่ากลับคืนบ้านของแสงฉานได้ นั่นย่อมหมายความว่าผมได้เปิดประตูแห่งพงไพรที่เชื่อมโยงดินแดนเหล่านั้นกับหมู่บ้านของเขาได้อีกครั้ง ซึ่งการเปิดทางเช่นนั้นไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะนำสิ่งใดกลับคืนมาบ้าง อาจเป็นโชคหรือเคราะห์ก็เป็นได้ แต่ที่แน่ๆ คือมันไม่มีทางที่ทุกอย่างจะเป็นปกติแน่ๆ”

“ด้วยสถานการณ์เช่นนั้นทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่น คืนวันหนึ่ง เขาเปิดอกคุยกับผมว่าเขาไม่อาจปล่อยให้ผมพำนักที่นี่ได้ตลอดไป แม้ว่าเขาจะเข้าใจในความโทมนัสของผมก็ตามที แต่ท่าทีและพฤติกรรมและพฤติการณ์ของผมได้ทำให้ผู้คนจำนวนมากหวาดกลัวขึ้นทุกขณะ เป็นไปได้ไหมที่ผมจะพำนักอยู่ต่อที่นี่อีกเพียงสัปดาห์เดียว และในสัปดาห์ดังกล่าว เขาจะไม่ขัดขวางใดๆ ต่อการบุกป่าฝ่าดงเพื่อทำความฝันให้เป็นจริงของผม อีกทั้งหากผมต้องการผู้คนหรือการช่วยเหลือใดๆ เขายินดีเต็มที่ แต่เมื่อครบกำหนดแล้ว ผมหาทางกลับไปยังที่ที่ผมจากมาไม่ได้ ผมต้องออกจากหมู่บ้านแห่งนี้ไปอย่างไม่มีเงื่อนไข”

“ผมไม่มีทางเลือก ต้องตกปากรับคำอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าความรักของผมจะยิ่งใหญ่เพียงใด ผมไม่มีสิทธิ์อ้างมาในการทำลายความสงบสันติของบุคคลอื่น ผมกลับไปที่ต้นสะบกใหญ่ต้นนั้น นั่งลงที่โคนต้นไม้นั้นทุกวันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เวลาของผมหมดไปแต่ละวันพร้อมๆ กับความสิ้นหวัง”

“ผมจ้องมองไปที่ป่าทึบ หวังให้แสงฉานเดินออกมาจากป่าแห่งนั้นในนาทีใดนาทีหนึ่ง แต่ความหวังนั้นไม่เป็นจริง ไม่มีแม้แต่เงาของเธอ ราวกับว่าโลกของผมกับแสงฉานได้ขาดจากกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว”

 

“ถึงเวลานั้น หัวใจของผมมีแต่ความเศร้าโศก นอกจากความเศร้าโศกที่เกิดจากการพลัดพรากจากแสงฉานแล้ว ผมยังโศกเศร้าที่ทำเวลานับสิบปีหล่นหายไปอย่างไร้ค่า ในโลกภายนอกนี้มีผมใครหรือผู้ใดหรือ พ่อและแม่ของผมได้จากผมไปโดยปราศจากโอกาสร่ำลา มิตรสหายของผมกระจัดกระจาย และถ้าผมพบเจอพวกเขา อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง เพื่อนคนหนึ่งที่ขโมยเวลาไปนับสิบปีกระนั้นหรือ ในขณะที่พวกเขาแก่ชราลงราวชายวัยกลางคน แต่ผมกลับยังเป็นชายหนุ่มที่ปราศจากริ้วรอย ผมได้เวลาสิบปีมาเปล่าๆ แต่กลับต้องสูญเสียคนรักไป มันคุ้มค่าแก่กันหรือไม่ ผมถามคำถามนี้กับตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

“หากผมยังคงอยู่ในป่าแห่งนั้นกับแสงฉาน ป่าที่มีน้ำผึ้งให้เก็บเกี่ยวอย่างไม่รู้จบ ร่วมเรียงเคียงหมอนกับเธอทุกค่ำคืน ความสุขของผมจะมากมายสักเพียงใด ผมควรเชื่อคำทัดทานของเธอ เวลาในโลกนี้ไม่ใช่เวลาของผม เป็นเพียงความฝันที่ไม่รู้จักตื่นต่างหาก เวลาอันเป็นจริงของผมอยู่ภายในป่านั้น เพียงแต่ว่าผมไม่อาจกลับไปหามันได้อีกต่อไป”

“ช่วงเวลาก่อนถึงกำหนดที่ผมต้องออกจากหมู่บ้านนั้นไป ผมขบคิดหาวิธีการอื่นที่จะกลับเข้าไปในป่า เป็นไปได้ไหมที่ผมจะได้พบกับกองเกวียนค้าขายที่เข้าไปซื้อน้ำผึ้งจากแสงฉานในทุกเดือน ถ้าผมพบพวกเขา พวกเขาย่อมมีวิธีพาผมกลับเข้าไปเป็นแน่ แต่ในตอนนั้นผมเองไม่มีข้อมูลหรือความรู้ใดเกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย หลังแยกจากพวกเขาแล้ว ผมก็ไม่ได้ติดต่อสิ่งใดกับพวกเขาอีก กระนั้นการที่พวกเขาออกจากป่าในสถานที่ห่างไกลจากพื้นที่ป่าแห่งนี้มาก แสดงว่าพวกเขามีทางเข้าอีกทาง อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่านั่นเป็นทางเลือกหนึ่ง แต่ทางเลือกในปัจจุบันยามนี้คือผมต้องหาวิธีกลับเข้าป่าจากตรงนี้และเวลานี้ให้จงได้ต่างหากเล่า”

เมื่อเล่าถึงตรงนั้นหลวงบุเรศรฯ ก็ร่ำไห้ออกมา อาการเช่นนั้นก่อให้เกิดความตระหนกตกใจกับมิตรสหายหนุ่มเป็นอย่างมาก เขาถึงกับต้องลุกขึ้นมาหยิบยื่นแก้วน้ำให้หลวงบุเรศรฯ และถอยออกมานั่งยังที่เดิมอย่างเงียบๆ

 

หลวงบุเรศรฯ จิบน้ำในแก้วก่อนจะถอนหายใจเขาเช็ดน้ำตากับแขนเสื้อก่อนจะกล่าวว่า “ขอโทษเถอะครับ มาเถิด มาถึงช่วงสุดท้ายกัน ถึงไหนแล้วนะ อีกสองวัน ใช่อีกสองวัน อีกสองวันก่อนจะถึงกำหนด ผมเดินกลับที่พักในยามเย็น เงยหน้าขึ้นมองต้นสะบกสูงใหญ่ต้นนั้น ครั้นแล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่าหากผมปีนไต่ขึ้นไปบนต้นไม้ต้นนี้เล่า ไต่ขึ้นไป ไต่ขึ้นไป จนสุดยอดของมัน ณ ตำแหน่งที่เฉียดปลายเมฆเช่นนั้น ผมย่อมมองเห็นป่าแห่งนี้ได้ทั่วถึง และ ณ ตำแหน่งนั้นเองที่ผมจะเห็นบ้านของแสงฉานได้ไม่ยากเย็นเลยหากมันจะยังคงอยู่ในป่านี้”

“ผมกลับที่พัก แจ้งแผนการของตนให้กับผู้เป็นผู้ใหญ่บ้านได้ฟัง กับเอ่ยปากขอแรงลูกบ้านสักสองสามคนมาช่วยกันทำทอยส่งให้ผมปีนไต่ขึ้นไป อาจฟังดูเป็นคำขอที่บ้าระห่ำ แต่ไม่มีทางเลือกอื่น นี่คือทางเลือกเดียวที่ผมเชื่อได้ว่ามันจะกระทำการได้จริง”

“รุ่งสางวันต่อมา ผมกับชาวบ้านอีกสองคนไปถึงโคนต้นไม้แห่งนั้น และเมื่อแสงอาทิตย์แตะขอบฟ้าจนทุกอย่างชัดเจน ผมก็เริ่มตอกทอย ปีนไต่ขึ้นไปทีละก้าว ทีละก้าว ผมใช้เชือกที่คล้องที่ไหล่ ส่งทอย รับทอยจากด้านล่าง ไม่มีความกลัวตายในกมลของผมเลย ผมปีนขึ้นไป ขึ้นไปเป็นเวลานับชั่วโมง แต่ว่าเมื่อไปได้ถึงครึ่งทาง”

“ในขณะที่ผมกำลังหยุดพักมองไปหาทัศนียภาพรอบๆ นั่นเอง ผึ้งฝูงหนึ่งก็กรู่เข้าโจมตีผม มันปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันราวกับมันแอบอยู่บนฟากฟ้า แต่ความแน่วแน่ในจิตใจของผมมีเหนือกว่าความเจ็บหรือความกลัว ผมยังคงไต่ขึ้นไป แม้จะมองอะไรไม่เห็นก็ตาม ราวสิบห้านาที ฝูงผึ้งนั้นก็จากไป ลำตัวของผมเต็มไปด้วยบาดแผลและร่องรอยของเหล็กไน แต่ผมเห็นปลายยอดของต้นสะบกแห่งนั้นแล้ว และเมื่อถึงมันผมจะสำรวจป่าแห่งนี้อย่างเต็มตา”

 

“ทว่า เคราะห์กรรมของผมไม่ได้จบสิ้น ในขณะที่ผมกำลังจะถึงยอดของต้นสะบกนั้น ฝูงลิงสีขาวที่พาผมไปยอดไม้ดังในอดีตได้ปรากฏตัวขึ้น แต่ในครานี้แทนการฉุดรั้งตัวผมขึ้นไป ฝูงลิงดังกล่าวกลับดาหน้ามากระแทกกระทั้นผมจนผมไม่อาจรั้งตัวไว้กับต้นสะบกนั้นได้ ผมร่วงหล่นลงมาราวกับขนนกของนกที่หลุดออกจากตัวนกที่บินด้วยความเร็วสูง ร่างของผมปลิวลงมา ผืนดินขยายใหญ่ขึ้น ผมคงจบชีวิตลงในไม่ช้านี่แล้ว แต่ก็ไม่ ก่อนถึงพื้นเพียงเศษเสี้ยวนาที ผมรู้ได้ว่ามีใครบางคนโอบอุ้มผมไว้ไม่ให้ประสบชะตากรรมเช่นนั้น เป็นแสงฉานแน่นอน จากสัมผัส ผมเชื่อมั่นว่านั่นคือแสงฉานที่ช่วยผมไว้ หลังจากนั้นผมก็หมดสติลง”

“ผมฟื้นตัวขึ้นในอีกสามวันถัดมาพร้อมกับบทสรุปที่มีแก่ตัวเอง ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ผมจะดั้นด้นค้นหาป่าน้ำผึ้งแห่งนั้นอีก แสงฉานยังรักผม แต่การอยู่ร่วมกันระหว่างเราสองคนได้จบสิ้นลงแล้ว จบสิ้นลงอย่างสิ้นเชิง ผมควรตัดใจจากเธอ การบอกลาของเธอด้วยรสสัมผัสในวิกฤตชีวิตของผมถือว่ามากเพียงพอแล้ว ผมเก็บของ ขับรถคันเดิมออกจากหมู่บ้าน ตั้งตนเป็นคนค้นหาน้ำผึ้งจวบจนบัดนี้ ดังที่คุณได้ประสบอยู่”

 

หลวงบุเรศรฯ สิ้นสุดเรื่องเล่าของเขา ชายหนุ่มเห็นความอ่อนล้าในตัวของมิตรอาวุโส เขาพยุงตัวหลวงบุเรศรฯ ขึ้น หากแต่ถูกปฏิเสธ “ไม่เป็นไรหรอก ผมว่าจะนอนพักเสียหน่อย หวังว่าเรื่องราวเหล่านี้คงทำให้คุณได้เข้าใจผมบ้างไม่มากก็น้อย”

ขาของหลวงบุเรศรฯ ยังมั่นคงเมื่อเขาเดินแยกออกไปขึ้นเรือน แต่หลายชั่วโมงถัดมาเมื่อเวลาเที่ยงและบ่ายมาถึง ชายหนุ่มได้สัมผัสขาของมิตรคนนั้นอีกครั้งในครานี้มันเย็นเฉียบ

หลวงบุเรศรฯ ได้สิ้นใจไปเสียแล้ว

ชายหนุ่มจัดการพิธีศพของหลวงบุเรศรฯ อย่างสมเกียรติที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ คนงานทุกคนที่เคยทำงานกับคุณหลวงฯ มารวมตัวกัน พวกเขานำเอาน้ำผึ้งติดตัวมาคนละขวด และในขณะที่กองฟืนในพิธีฌาปนกิจลุกโชติช่วงท่วมร่างของหลวงบุเรศรฯ ที่อยู่บนเชิงตะกอนกลางแจ้ง ทุกคนก็พรมน้ำผึ้งนั้นไปทั่วร่างของหลวงบุเรศรฯ

กลิ่นหอมของน้ำผึ้งตลบออบอวลไปทั่วป่าก่อนจะมหลายหายไปในเวลาต่อมา

วันรุ่งขึ้นหลังจากแจกจ่ายเถ้าถ่านของหลวงบุเรศรฯ ให้กับป่าเขา ชายหนุ่มก็เก็บสิ่งของจากป่าแห่งนั้นมา เขาเหลียวหลังไปมองบ้านพักที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าอัศจรรย์หลังนั้น

เขาคิดถึงการกลับลงไปทางใต้ ไปสะพลีเพื่อหาคนรักเก่า แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ ความอาลัยอาวรณ์ไม่สิ้นสุดนั้นมีโทษเช่นใด บัดนี้เขาได้รู้ซึ้งแก่ใจตนเองเสียแล้ว

จบ