วิเคราะห์ | เพื่อไทย-ก้าวไกล แก้รัฐธรรมนูญ “ฝันคนละทาง” เปิดประตูที่ปิดตาย-ไม่ง่าย กม.ประชามติไม่คลอด “รธน.” ก็แท้ง

ด้วยความเห็นที่ไม่ค่อยลงตัวกันนักเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกรณีการยื่นอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามมาตรา 152 ซึ่ง “รังสิมันต์ โรม” จากพรรคก้าวไกล ตั้งคำถามกับพรรคเพื่อไทย (พท.) อย่างตรงไปตรงมาว่า การเสนอให้มีการอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 นี้ “เพื่อไทย” ใช้เป็นใบเบิกทางให้รัฐบาลเข้ามาชี้แจงหรือไม่

เหตุใดจึงไม่ใช้การอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อลงมติตามมาตรา 151

และเหตุใดเพื่อไทยจึงเสนอญัตตินี้เข้าสู่สภาโดยไม่ถามพรรคร่วมเสียก่อน

เรื่องนี้ทำให้บรรดา ส.ส.พรรคเพื่อไทยไม่พอใจอย่างมาก

หลายคนออกมาโต้กลับทันควัน บอกเหมือนไม่ให้เกียรติกัน ไม่รู้ว่าที่ทำแบบนี้ต้องการอะไร

ไปจนถึงแนะนำให้ก้าวไกลเดินการเมืองให้ระวัง วันนี้ศัตรูคือเผด็จการ

อย่าเอาแต่ทำลายน้ำใจมิตร จนมิตรต้องหันหน้ามารบกันเอง

ตัดภาพมาที่ประเด็นแก้รัฐธรรมนูญ “วันนี้” คงไม่ต้องพูดถึงการเสนอแก้รัฐธรรมนูญหมวด 1 และหมวด 2 แล้ว เพราะ “ทุกพรรค” ชัดเจนว่า จะไม่แตะต้อง

โดย “สุทิน คลังแสง” ประธานวิปฝ่ายค้าน นำ ส.ส.พท.แถลงชัดเจนทุกคำว่า

“พรรคเพื่อไทยจะไม่แตะต้องหมวด 1 และหมวด 2”

ขณะที่ “ชัยธวัช ตุลาธน” เลขาธิการพรรคก้าวไกล ก็พูดชัดเช่นกันว่า

“ก้าวไกลไม่ได้เสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมตอนนี้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญมาตรา 255 ได้จำกัดไว้อยู่แล้วว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยมีผลในการเปลี่ยนแปลงระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐนั้นจะกระทำมิได้ มีการเรียกร้องโดยนักเรียน นิสิต นักศึกษา เราก็เรียกร้องให้สังคมมีวุฒิภาวะในการฟังพวกเขา จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็แล้วแต่ แต่ควรจะฟัง และเข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น”

ถือว่าจบประเด็นนี้ ไม่จำเป็นต้องหยิบมาเป็นข้อถกเถียงอีกใน “วันนี้”

แต่ประเด็นที่ต้องหยิบขึ้นมาถกเถียงกัน เพราะจนตอนนี้ก็ยังคงมีการถกเถียงกันอย่างต่อเนื่อง คือประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบตั้ง ส.ส.ร. และแก้แบบรายมาตรา

ซึ่ง “เพื่อไทย” กับ “ก้าวไกล” เลือก “แยกกันเดิน” กลางทาง เนื่องจากเห็นไม่ตรงกันในบางประเด็น

“เพื่อไทย” เห็นว่า ควรเสนอให้มีการแก้มาตรา 256 ให้ได้เสียก่อน เพื่อเปิดทางให้มีการตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมารับฟังความเห็นประชาชน เป็นการให้ประชาชนได้ร่วมเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ขณะที่ “ก้าวไกล” เห็นต่างออกไปเล็กน้อยว่า การแก้รัฐธรรมนูญให้มี ส.ส.ร. อาจเข้าเกม “ซื้อเวลา” เพราะกว่าจะได้รัฐธรรมนูญใหม่ตามกระบวนการ รัฐบาลอาจอยู่ครบเทอมพอดี

ดังนั้น เพื่อยุติกลไกการสืบทอดอำนาจของ คสช. จึงเสนอให้แก้มาตรา 272 ไปพร้อมกันด้วย

ก่อนหน้านี้ ในวงประชุม 6 พรรคร่วมฝ่ายค้าน “ก้าวไกล” ได้พยายามเสนอเรื่องนี้ในที่ประชุมหลายครั้ง

ซึ่งกุนซือฝั่ง “เพื่อไทย” เสนอว่า ให้เอาเท่าที่เป็นไปได้ก่อนดีหรือไม่ แล้วค่อยใช้กระบวนการ ส.ส.ร.เข้ามารื้อแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับอีกทีหนึ่ง แล้วไปปิดสวิตช์ ส.ว.ในขั้นนี้ก็ได้

การเสนอให้แก้มาตรา 272 เพื่อปิดสวิตช์ ส.ว.ทันทีเลยของพรรคก้าวไกลนั้น เปรียบเสมือนการลดอำนาจ ส.ว. 100% ดังนั้น จึงเป็นไม่ได้เลยที่ทาง ส.ว.จะยอมเอาด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญรูปแบบนี้

และหาก ส.ว.ไม่เอาด้วยแล้ว การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เป็นไปได้ยาก หรือแทบเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจากจะแก้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ได้ ต้องมีเสียง ส.ว.จำนวน 1 ใน 3 หรือ 84 คนเอาด้วย

ขณะที่กุนซือฝั่งก้าวไกลมองว่า สามารถแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 256 เปิดทางให้มี ส.ส.ร.มาทำรัฐธรรมนูญใหม่ไปพร้อมๆ กับการยกเลิกมาตรา 272 ได้ ถ้าไม่รีบปิดสวิตช์เสียก่อนตอนนี้ หากวันข้างหน้าเจอเอ็กซิเดนต์ทางการเมือง เช่น ยุบสภา หรือนายกฯ ประกาศลาออก ส.ว.ที่มาจากกระบวนการสืบทอดอำนาจก็ยังคงมีอำนาจในการเข้ามาแทรกแซงโหวตเลือกนายกฯ ได้อยู่ดี

พร้อมยังบอกด้วยว่า หากกังวลว่าจะหา ส.ว. 84 คนไม่ได้ หรือซีกรัฐบาลไม่ยอม ก็ต้องกดดันนอกสภาต่อไป

และต้องเลิกคิดว่า ถ้าแก้รัฐธรรมนูญเพื่อยกเลิก ส.ว. แล้ว ส.ว.ที่ไหนจะยอม

แต่ต้องเปลี่ยนมาคิดว่า แก้เรื่องไหนๆ ที่ ส.ว.ไม่ถูกใจ ส.ว.ก็ไม่ยอมทั้งนั้น ดังนั้น จะให้ ส.ว.ยอมได้ ประชาชนต้องกดดัน ส.ว. และเจ้าของ ส.ว.

ขณะเดียวกัน ส.ส.ในสภาก็ต้องทำหน้าที่เปิดประตูในสภาให้ด้วย

อย่างไรก็ตาม ในการประชุมพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา “เพื่อไทย” ได้มีมติ 99.99% ที่จะไม่ช่วยร่วมลงชื่อให้กับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของทางฝั่งพรรคก้าวไกล

เท่ากับเป็นการหักคอพรรคก้าวไกลอย่างแรง

เพราะการจะเสนอร่างได้ต้องอาศัยเสียง 1 ใน 5 ของ ส.ส. หรือ 98 คน เท่ากับว่าเสียง ส.ส.ในส่วนของก้าวไกลที่จะเสนอร่างฉบับปิดสวิตช์ ส.ว.นั้นมีไม่เพียงพอ

จากนี้ทางที่พรรคก้าวไกลจะสามารถดำเนินการต่อไปได้ คือเดินหน้าหาเสียงให้ครบ หรือร่วมกับภาคประชาชนเข้าชื่อให้ถึง 50,000 คน เพื่อเสนอร่างดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมสภา

เวลานี้หลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการขับเคลื่อนของหลายฝ่าย พาประเทศมาถึงจุดที่มองเห็นและยอมรับปัญหาร่วมกัน ฝ่ายการเมืองหลายคนลึกๆ แล้วจึงเชื่อว่าการแก้มาตรา 256 น่าจะสามารถเกิดขึ้นได้จริง เพราะฝ่ายรัฐบาลเองก็มีท่าทีโอนอ่อนเอาด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะจากการให้สัมภาษณ์ การให้ความเห็น หรือการตั้งโต๊ะแถลงอย่างเป็นทางการ

ฝ่ายค้านประเมินว่า พรรครัฐบาลโดยเฉพาะ “พรรคพลังประชารัฐ” เองก็น่าจะต้องการให้แก้มาใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เนื่องจากในอนาคตสถานะของ พปชร.จะเหมือนกับ พท. ที่ยิ่งได้ ส.ส.เขตมาก จำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อก็จะยิ่งลดลง

ถ้ายังไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ วันข้างหน้าชะตากรรมของ พปชร.จะเหมือนกับ พท.วันนี้ อีกประการหนึ่ง การผลักดันให้มีการตั้ง ส.ส.ร. พรรครัฐบาลเองก็สมประโยชน์ เพราะกว่าจะเดินทางตามกระบวนการไปจนถึงวันที่ได้แก้รัฐธรรมนูญโดย ส.ส.ร. น่าจะต้องใช้เวลานาน 1-2 ปี ซึ่งรัฐบาลก็อยู่ครบวาระพอดี เตรียมโดดลงเลือกตั้งภายใต้กติกาใหม่ที่ได้ทันทีด้วย

ดังนั้น แนวทางแก้รัฐธรรมนูญจึงไม่ได้ปิดประตูตายเลยเสียทีเดียว แต่อยู่ที่ว่าจะงัดเอาเงื่อนไขใดมาไขประตูเปิดเข้าไปแก้

มีคนเคยพูดเอาไว้น่าคิดประโยคหนึ่งว่า “ถ้ายุทธศาสตร์คือต้องกินข้าวให้หมดทั้งชาม ยุทธวิธีคือการกินข้าวทีละคำ” การกินข้าวให้หมดทั้งชาม ไม่ได้หมายความว่าต้องยกถ้วยขึ้นมาซดให้หมดชามในคราวเดียว แต่ต้องมีวิธีกิน คือตักกินทีละช้อน การทำงานร่วมกันอย่างมียุทธศาสตร์เพื่อไปถึงเป้าหมาย

สิ่งที่เพื่อไทยและก้าวไกลต้องทำหากยังมีแนวทางที่จะเดินร่วมกันต่อ คือเลือกหยิบสิ่งที่เป็นประโยชน์ร่วมมาคุยกัน แล้ววางประโยชน์ของตนเองไว้ก่อน ค่อยๆ เดินไปทีละขั้นอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยบนจุดหมายเดียวกัน เพราะหนทางแก้รัฐธรรมนูญอย่างที่ทั้ง 2 พรรคฝันไว้ จากวันนี้ไปจนถึงวันข้างหน้า คงไม่ง่ายนัก…

แต่ปัญหายังมีอยู่ว่า พ.ร.บ.ประชามติยังไม่แล้วเสร็จ หรือจะเป็นเพียงเกมยื้อเวลาทำท่าเห็นด้วยของรัฐบาลเท่านั้น

เพราะไม่ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญแบบไหน

ถ้าไม่มี พ.ร.บ.ประชามติ ก็ไม่มีวันที่รัฐธรรมนูญจะถูกบังคับใช้

นี่เป็นอีกเรื่องที่ไม่มีใครพูดถึง


กว่า 12 ปี ของการจัดงาน Healthcare เครือมติชนร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ส่งต่อความรู้และให้บริการสุขภาพแก่คนไทยในทุกมิติ ทั้งการป้องกัน ดูแล และรักษา โดยเฉพาะการบริการตรวจสุขภาพฟรีจากสถานพยาบาลชั้นนำ เวิร์กชอป ให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ รวมถึงการยกระดับเวทีเสวนาให้เป็น “Health Forum” เปิดเวทีให้แพทย์ และ Speaker ระดับประเทศ มาร่วมพูดคุยถึงแนวทางการป้องกัน การรักษา และนำเสนอนวัตกรรมทางการแพทย์ รวมถึงเรื่องราวสุขภาพในแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่จะมาให้อัปเดตตลอด 4 วันของการจัดงาน เดินทางสะดวกโดยทางด่วนและ MRT ลงสถานีสามย่าน ทางออกที่ 2
ลงทะเบียนเข้างานฟรี มีต้นไม้แจกด้วยนะ (จำนวนจำกัด)