มาดามหลูหลี / The Last Recipe : เชฟนักชิมลิ้นกิเลน

มาดามหลูหลี[email protected]

ความเอาจริงเอาจังของคนญี่ปุ่นในทุกๆ เรื่องราว ใส่ใจทุกรายละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำอาหาร ที่สามารถพัฒนาสูตรจนเป็นแบบญี่ปุ่น เช่น บะหมี่ของจีนกลายเป็น “ราเมง” ที่มีน้ำซุปนานาชนิด สารพัดสูตร ทั้งอร่อยมีชื่อเสียง แต่ละเมืองก็มีสูตรของตัวเอง ถึงกับสร้างพิพิธภัณฑ์ราเมงที่โยโกฮามา

เค้ก, พาสต้า หรืออาหารอื่นๆ ของยุโรป ก็ถูกพัฒนารสชาติจนเป็นแบบญี่ปุ่น ที่ให้รสสัมผัสแปลกใหม่และอร่อยยิ่งขึ้น

The Last Recipe หรือ Kirin no shita no kioku หนังญี่ปุ่นที่เล่าเรื่องสูตรอาหารของเชฟ ซึ่งส่งต่อกันมา จากภาพตัวอย่างของหนัง ทำให้คาดเดาได้ว่าคงเป็นสูตรการทำอาหาร

แต่เพราะเป็นหนังของผู้กำกับฯ โยจิโร่ ทาคิตะ ผู้กำกับฯ รางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม เรื่อง Departures เรื่องราวย่อมไม่ธรรมดา

 

หนังเล่าเรื่องมิตซูรุ ซาซากิ (คาซูนาริ นิโนมิยะ นักแสดงและนักร้องสมาชิกวงอาราชิ) ที่หนีออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพื่อไปเป็นเชฟ เขาเปิดร้านอาหารแต่ไปไม่รอด เพราะมีความเชื่อมั่นตัวเองมากเกินไป จนต้องปิดร้านกับเป็นหนี้ก้อนโต

มิตซูรุมีพรสวรรค์เรื่องการชิมอาหาร เมื่อเขาชิมอาหารเพียงครั้งเดียว จะจำรสชาติได้ และสามารถดึงรสชาติอาหารให้ได้รสชาตินั้นออกมา

หลังปิดกิจการร้านอาหารเพื่อหาเงินใช้หนี้ เขาจึงรับจ้างทำอาหารให้คนที่ใกล้ตายร้องขอกินอาหารมื้อสุดท้ายของชีวิต กินอาหารที่เคยกินแล้วประทับใจจำได้ไม่รู้ลืมอีกครั้งก่อนตาย รับว่าจ้างด้วยเงินก้อนโตหลักล้าน เพราะเศรษฐีเท่านั้นจึงทำเรื่องเช่นนี้ได้

มิตซูรุจะลากกระเป๋าใบใหญ่เหมือนกระเป๋าเดินทาง ซึ่งข้างในกระเป๋าเต็มไปด้วยอุปกรณ์และวัตถุดิบสำหรับการประกอบอาหารครบครัน เป็นครัวเล็กๆ เคลื่อนที่ไปทำอาหารได้ทุกแห่ง

เคน ยานากิซาวะ (โก อายาโนะ) เพื่อนจากบ้านเด็กกำพร้าที่หนีมาทำร้านด้วย ได้โทร.แจ้งข่าวการตายของผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้า ซึ่งเคยเลี้ยงดูมิตซูรุมาเหมือนลูก

มิตซุรุปฏิเสธการมาร่วมงานศพ เพราะติดภารกิจรับงานทำอาหารมื้อสุดท้ายให้ลูกค้า

 

แม้จะได้เงินก้อนใหญ่มา และลูกค้าก็พึงพอใจในรสชาติอาหาร แต่มิตซูรุกลับไม่มีความสุข…

อยู่ๆ มีโทรศัพท์จากคนปักกิ่ง หยางเซี่ยวเมี่ยว (โยชิ โออิดะ) ต้องการว่าจ้างให้เขาทำอาหารมื้อสุดท้ายด้วยเงินจำนวนมหาศาล โดยเขาต้องตามหาสูตรของอาหารชุดนั้น เพราะเป็นเมนูอาหารของจักรพรรดิญี่ปุ่น ที่ถูกคิดค้นไว้ในสมัยสงครามปี 1933 เพื่อถวายองค์จักรพรรดิ โดยเชฟนาโอทาโร่ ยามากาตะ (ฮิเดะโตชิ นิชิจิมะ)

เรื่องราวการตามหาเมนูสูตรลับจึงเริ่มต้นขึ้น มิตซูรุต้องไล่เรียงไปพบผู้คนแต่ละท่านตามที่หยางเซี่ยวเมี่ยวแจ้ง และจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง เพราะเรื่องราวที่เล่ามันจบลงเท่าที่คนซึ่งไปพบบอกเล่ารับรู้

เมนูที่หยางเซี่ยวเมี่ยวต้องการชิมคือ เมนูจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่น อันเป็นภารกิจลับในห้องครัวที่เมืองฮาร์บิน ประเทศจีน โดยเชฟนาโอทาโร่ โดยที่ห้องครัวยังต้องแยกส่วนเป็นพิเศษ จากห้องครัวรวมที่ทำอาหารให้ทหารญี่ปุ่นที่มายึดครองประเทศจีนในขณะนั้น

เชฟนาโอทาโร่พาชิซุ (เอโออิ มิยาซากิ) ภรรยาที่กำลังท้องมาด้วย และมีโชทาโระ คาตามะ (ไดโกะ นิชิฮาตะ) เป็นผู้ช่วย กับหยางเซี่ยวเมี่ยวในวัยหนุ่ม เป็นผู้ช่วยชาวจีนอีกคน

การทำงานร่วมกันสร้างสูตรอาหารญี่ปุ่น เพื่อสร้างตำนานเหมือนอาหารสำหรับจักรพรรดิของจีน เพราะในโลกของอาหาร อาหารจีนยิ่งใหญ่ที่สุด

แรกๆ เชฟนาโอทาโร่ผู้เชื่อมั่นในตัวเองมาก จนไม่ฟังความเห็นของผู้ช่วย ไม่เชื่อรสมือของผู้ช่วย แต่ชิซุได้เตือนสติ ว่าถึงแม้เขาจะมีลิ้นวิเศษเหมือนลิ้นกิเลน ที่ชิมอาหารครั้งเดียวก็สามารถทำรสชาติให้เหมือนได้ แต่การเปิดใจยอมรับคนอื่น และทำอาหารเพื่อให้คนกินมีความสุขนั้นสำคัญกว่า

ระหว่างที่มิตซูรุรับฟังเรื่องราวของเชฟนาโอทาโร่ซึ่งมีนิสัยเหมือนตัวเขามาก กับเรื่องราวของภารกิจลับ ซึ่งใช้เวลาและงบประมาณมากมาย เพียงเพื่อจุดประสงค์เดียวอันน่าสะพรึงกลัว

 

หนังเล่าเรื่องราวในอดีตของเชฟนาโอทาโร่ คู่ขนานกับเรื่องราวในปัจจุบันของมิตซูรุ

ให้เห็นภาพบรรยากาศของจีนแผ่นดินใหญ่ในช่วงสงครามที่เป็นเมืองขึ้นญี่ปุ่นเมื่อปี 1930 เป็นช่วงเวลาที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทั้งวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของผู้คน มีแฟชั่นที่ดูคลาสสิคซึ่งบอกยุคสมัย

คล้ายๆ กับในช่วงหลายปีมานี้ของยุคปัจจุบัน อาจกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงวิถีใหม่ (New Normal) โดยมีสงครามเศรษฐกิจและโรคภัยที่ยังไม่มียารักษา ซึ่งมนุษย์ต้องเผชิญและต่อสู้ให้ผ่านพ้นไปให้ได้

The Last Recipe หนังเล่าเรื่องสวยงามแบบเนิบช้าตามสไตล์ผู้กำกับฯ โยชิโร่ กับเมนูอาหารหลากหลายน่าอร่อยชวนหิว…กินได้อร่อยตอนที่กินได้น่าจะดีกว่า…