ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 กรกฎาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
สุจิตต์ วงษ์เทศ
ลอยกระทง มาจากลอยโคม
สมัยอยุธยา ขอขมาธรรมชาติ
พิธีกรรมสำคัญในรอบปีที่รู้จักเป็นสามัญว่า “ประเพณี 12 เดือน” มีขึ้นเพื่อความอุดมสมบูรณ์และมั่นคงทางอาหาร ได้แก่ ข้าว ที่ได้รับยกย่องจากราชสำนักสมัยอยุธยาตอนต้นเป็น “แม่โพสพ”
อยุธยา “ราชอาณาจักรสยามแห่งแรก” สืบทอดและสร้างสรรค์ประเพณีเกี่ยวกับแม่โพสพสืบเนื่องจนถึงปัจจุบัน แต่ระบบการศึกษาไทยทุกวันนี้ “ตัดตอน” ข้อมูลความรู้ทำให้บอกไม่ได้ถึงที่มาและความหมายแท้จริงของประเพณีนั้นๆ จึงเสมือน “เด็ดดอกไม้ที่บานแล้ว” โดยไม่รู้ที่มาของการบ่มเพาะกว่าจะผลิบานเป็นดอกไม้นั้น
ลอยกระทงมีต้นตอรากเหง้าจากลอยโคมสมัยอยุธยา เพื่อขอขมาธรรมชาติคือน้ำและดิน ที่บันดาลความอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ว่านยาข้าวปลาอาหารเลี้ยงดูคนทั้งปวงให้มีชีวิตเพื่อสร้างสรรค์บ้านเมืองจำเริญเติบโตเป็นราชอาณาจักร ทั้งนี้ มีพยานหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดี รวมถึงประเพณีพิธีกรรมทำตกทอดสืบเนื่องมายาวนานมาก ตั้งแต่ดั้งเดิมดึกดำบรรพ์สมัยก่อนประวัติศาสตร์หลายพันปีมาแล้ว
ตำราก่อนหน้านี้ระบุว่าลอยกระทงมีกำเนิดจากนางนพมาศ สนมพระร่วง กรุงสุโขทัย ดังพบในหนังสือเรื่องนางนพมาศ หรือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ แต่ปัจจุบันในทางวิชาการเป็นที่รับรู้และรับรองทั่วกัน ว่าหนังสือเรื่องนางนพมาศเป็นวรรณกรรมสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยสมมุติฉากเป็นกรุงสุโขทัย แต่งขึ้นอย่างมี “นิยาย” ราวแผ่นดิน ร.3-ร.4 จึงไม่ถือเป็นเรื่องจริงตามที่เคยเชื่อมานานว่าลอยกระทงครั้งแรกมีในกรุงสุโขทัย
ขอขมาธรรมชาติ เพื่อความมั่นคงทางอาหาร
“เดือน 11 น้ำนอง เดือน 12 น้ำทรง
เดือนอ้ายเดือนยี่ น้ำก็รี่ไหลลง”
กลอนเพลงร้องเล่นยกมานี้น่าเชื่อว่าเป็นที่รู้แพร่หลายในหมู่ชาวบ้านสมัยอยุธยา บริเวณลุ่มน้ำภาคกลาง มีเนื้อความบอกสภาพขณะนั้นของลุ่มน้ำเจ้าพระยา
เดือน 11 (กันยายน-ตุลาคม) น้ำเหนือนองทั่วไปไหลหลากลงมาจากทางเหนือจนท่วมข้าวในนาซึ่งกำลังตั้งท้องออกรวง
เดือน 12 (ตุลาคม-พฤศจิกายน) น้ำทรงตัวไม่ขึ้นไม่ลง แต่บางแห่งลุ่มต่ำมากอาจท่วมข้าวจนรวงเหลืองแก่เน่าตายกับน้ำท่วมนั้น
เดือนอ้าย คือ เดือน 1 (พฤศจิกายน-มกราคม) ถึงเดือนยี่ คือ เดือน 2 (มกราคม-กุมภาพันธ์) น้ำลดลงตามธรรมชาติ บรรดาชาวนาเริ่มเกี่ยวข้าว เมื่อเสร็จแล้วหลังจากนั้นก็นวดข้าว ได้ข้าวเปลือกเอาไว้แปลงเป็นข้าวสารเก็บไว้กินตลอดปี
แต่ธรรมชาติไม่คงที่เสมอไปทุกปี โดยมนุษย์ไม่มีวันรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดภาวะผิดปกติแปรปรวนในปีไหน? ตอนไหน? ดังนั้น เพื่อความมั่นใจของคน “ทำนาทางฟ้า” ต้องมีพิธีกรรมขอขมาธรรมชาติคือน้ำและดินเพื่อความมั่นคงทางอาหาร ด้วยการเซ่นวักตั๊กแตนสังเวยผีสางที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติ ขออย่าได้แปรปรวนจนเสียหาย
สมัยอยุธยา ซึ่งสืบเนื่องประเพณีพิธีกรรมจากบ้านเมืองหรือรัฐสมัยก่อนหน้านั้น ได้แก่ รัฐในวัฒนธรรม “ทวารวดี” (ด้วยเหตุที่ว่าอยุธยามีนามทางการว่า “กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา” หมายถึงกรุงศรีอยุธยาเป็นทายาททางอุดมคติจากทวารวดีมีน้ำล้อมรอบอันเป็นแดนของเทพนามพระกฤษณะบนสวรรค์)
พิธีกรรมขอขมาน้ำและดินมีสืบต่อกันตั้งแต่เดือน 11 ถึงเดือน 12 เพื่อวิงวอนร้องขอให้น้ำลดลงเร็วๆ จะได้เก็บเกี่ยวข้าวในนา (ถ้าน้ำไม่ลดหายไป ชาวนาเข้านาเก็บเกี่ยวไม่ได้) โดยแข่งเรือและลอยโคม ถ้าน้ำยังไม่ลดก็ไล่น้ำ
แข่งเรือและลอยโคมจนถึงไล่น้ำเริ่มเมื่อไร? เลิกเมื่อไร? สมัยโบราณไม่กำหนดตายตัว เพียงแต่รับรู้ทั่วกันกว้างๆ ว่าระหว่างกลางเดือน 11 ถึงกลางเดือน 12 ชุมชนใดพร้อมลอยวันใดวันหนึ่ง หรือลอยเรื่อยๆ หลายวันก็ได้จนกว่าน้ำจะลด
แข่งเรือ
เรือสองลำความยาวไล่เลี่ยกัน มีฝีพายจำนวนเท่ากัน ชิงเอาชนะกันด้วยการพายเรืออย่างเร็วๆ เท่ากับผลักดันน้ำอย่างรุนแรงให้ไหลลงอย่างรวดเร็ว น้ำจะได้ลดเพื่อชาวนาลงไปเก็บเกี่ยวข้าวในนาที่สุกเหลืองอร่ามเต็มที่แล้ว
สมัยอยุธยา แข่งเรือมี 2 ระดับ ได้แก่ แข่งเรือเสี่ยงทายในพระราชพิธี และแข่งเรือพนัน
แข่งเรือเสี่ยงทาย เป็นพระราชพิธีสมัยอยุธยาตอนต้น มีบอกในกฎมณเฑียรบาล และทวาทศมาสโคลงดั้น ว่าเรือมเหสีแข่งกับเรือพระเจ้าแผ่นดิน
แข่งเรือพนัน เป็นประเพณีชาวบ้านทั่วไป มีบอกในจดหมายเหตุลาลูแบร์ และยังมีสืบเนื่องทุกวันนี้ทั่วประเทศ รวมทั้งทั่วภูมิภาคอุษาคเนย์
ชักโคม, ลอยโคม
แยกเป็น 2 กิจกรรม ทำคราวเดียวกัน เดือน 11, 12 พบอยู่ในเอกสารสมัยอยุธยาตอนต้น ได้แก่ กฎมณเฑียรบาล และทวาทศมาสโคลงดั้น
ชักโคม ตั้งเสาไม้เป็นแถวกลางแจ้ง แล้วชักรอกดึงโคมขึ้นแขวนยอดเสา ภายในโคมจุดไฟจากน้ำมันไขสัตว์วัวควายเพื่อกระทำบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามแบบพราหมณ์จากอินเดีย
จุดไฟจากน้ำมันไขสัตว์ ในกฎมณเฑียรบาลเรียก “จองเปรียง” คำนี้มีผู้รู้ทางภาษาโบราณอธิบายว่ามีรากจากภาษามอญโบราณ จอง (โจง) แปลว่า แสงสว่าง, เปรฺง (เปรียง) แปลว่า ควาย
ลอยโคม เดิมเป็นพิธีในศาสนาผี เพื่อขอขมาเจ้าแม่แห่งน้ำและดิน โดยใช้กาบกล้วยหรือกระบอกไผ่เป็นภาชนะใส่เครื่องเซ่นลอยน้ำ ต่อมารับแบบแผนจากจีนทำโคมกระดาษแล้วจุดไฟไว้ในโคมกระดาษลอยน้ำ (พบหลักฐานในจดหมายเหตุจีนและบันทึกของลาลูแบร์)
ขอขมาเจ้าแม่แห่งน้ำและดินโดยภาชนะใส่เครื่องเซ่นทำจากใบตอง พบหลักฐานเก่าสุดในภาพสลักปราสาทบายน ราว พ.ศ.1750 (ก่อนมีกรุงศรีอยุธยา) ต่อมาในแผ่นดิน ร.3 กรุงรัตนโกสินทร์ ปรับปรุงโคมกระดาษเป็นกระทงทำจากใบตองสืบถึงทุกวันนี้แล้วเรียก “ลอยกระทง”
ไล่น้ำ
เป็นพระราชพิธีมีเมื่อน้ำหลากท่วมข้าวในนาจนผ่านพิธีลอยโคมขอขมาไปแล้วยังไม่ลดลง จึงโปรดให้ทำพิธีไล่น้ำโดยตั้งขบวนจากกรุงพระนครล่องตามแม่น้ำไปบางปะอิน (สมัยอยุธยาตอนต้นเรียก “บางขดาน” เพราะเป็นที่โคลนเลนทะลักลงทับถมจนเป็นดินราบเรียบราวแผ่นกระดาน มีบอกในทวาทศมาสและกำสรวลสมุทร)
จากนั้นทำพิธีบริเวณ “ดินสะดือ” (คือตาน้ำ) ด้วยการเห่กล่อม (ขณะเรือจอดนิ่ง) เพื่อขอให้น้ำไหลผ่านตาน้ำลงบาดาลน้ำจะได้ลด (ตามความเชื่อโบราณว่าบาดาลอยู่ใต้ดินเป็นที่ขังน้ำกว้างใหญ่ มีพญานาคควบคุมดูแล)
การเห่กล่อมขอขมาให้น้ำลดอาจเป็นต้นแบบสิ่งที่เรียกทุกวันนี้ว่า “เห่เรือ”