หลังเลนส์ในดงลึก | “เปลี่ยน”

ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ
หมาใน : เมื่อได้กลิ่นเหยื่อ หมาในจะ สำรวจว่า เหยื่อไปทางไหนแล้วไล่ตามอย่างไม่ลดละ

“ประสบการณ์ทำให้ผมเปลี่ยนแปลง จากคิดถึงสัตว์ป่า โดยใช้สมอง ผมเปลี่ยนมาใช้หัวใจ”

ผมเขียนประโยคนี้ปิดท้ายงานชิ้นหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว ผมรู้สึกเช่นนั้น หลังจากหมาไนฝูงหนึ่งเปิดโอกาสให้ผมอยู่ใกล้ๆ ได้เห็นชีวิตอีกด้านหนึ่งของพวกมัน เป็นเวลา 8 วัน

ไม่ผิดเลย หากจะพูดว่า การเปลี่ยน เกิดขึ้นเพราะสัตว์นักล่าซึ่งถูกเรียกว่าหมา

 

ก่อนหน้านั้น ผมได้ยินเรื่องเล่าของหมาไนมากมาย อาทิ

– ก้าวร้าว

– เป็นนักล่า ฉาบฉวย

– หวงเหยื่อ

– พวกมาก จึงไม่กลัวใคร และอื่นๆ

ครั้งหนึ่ง ขณะกำลังเฝ้าซากควายป่า ที่เสือโคร่งฆ่าได้ ผมเห็นหมาไนฝูงหนึ่งผ่านมาเข้ารุมทึ้งซากเน่าๆ นั่นจนเหลือแค่กระดูกแล้วผละไป

สักพัก ผมได้ยินเสียงกวางร้องโหยหวน

หมาไนฝูงนั้นพบกวางและฆ่าได้อีกตัว

พลบค่ำผมเดินกลับแคมป์ ผ่านซากกวางที่เหลือส่วนหัวและกระดูกท่อนโตๆ

การกระทำเช่นนี้ จะไม่ให้ผมนึกถึงความเป็นนักล่าฉาบฉวยได้อย่างไร

อยู่ร่วมกันเป็นฝูงใหญ่ พูดได้ว่าพวกมันคือนักล่าที่ทำงานอย่างได้ผลที่สุด กว่า 90% ของสัตว์กินพืชล้มตายเพราะหมาไน ผมพบซากเหยื่อของมันบ่อยๆ เก้ง กวาง หมูป่า

หลายครั้งผมอยู่ในเหตุการณ์ที่หมาไนกำลังทำงาน หากใจอ่อนสักหน่อย อาจต้องเบือนหน้า อดไม่ได้ที่จะเวทนาเหยื่อ เพราะดูคล้ายจะมีแต่ความโหดเหี้ยม ไร้ความปรานี ชิ้นส่วนเหยื่อ โดยเฉพาะลูกนัยน์ตา ถูกกระชากไปกินตั้งแต่เหยื่อยังไม่ขาดใจ ก่อนวิญญาณจะหลุดลอยจากร่าง เนื้อช่วงท้องและเครื่องในบางส่วนก็ถูกกัดกินแล้ว

นี่คงเป็นเหตุผลพอที่จะยกให้หมาไนคือนักล่าซึ่งทำงานได้ผลที่สุด

ซุ้มบังไพรที่ผมตั้งไว้ ทำจากผ้าลายพรางสีเขียวจางๆ ออกแบบมาให้มิดชิด มีช่องสำหรับให้โผล่เลนส์ออกมาได้ช่องเดียว เมื่อตั้งอยู่ริมลำห้วย ริมตลิ่ง ด้านหลังคือดงไผ่ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ตั้งแต่เวลา 9 โมงเช้าไปจนกระทั่งบ่ายสามโมง บังไพรจะรับแดดเต็มที่ กลางเดือนเมษายนเช่นนี้ ข้างในอุณหภูมิมากกว่า 40 องศา

อีกฝั่งลำห้วย มีแอ่งน้ำซับเล็กๆ ถัดไปมีแนวโขดหิน ที่ด้านหลังเป็นโป่ง

3 ปีก่อนหน้า โป่งนี้อยู่ในดงไม้หนาทึบ ผมเคยเดินมาสำรวจพบร่องรอยสัตว์ป่าใช้มาก แต่ไม่มีจุดที่จะเฝ้ารอเหมาะๆ

ปีถัดมา ฝนตกหนัก กระแสน้ำแรงเชี่ยวกรากพัดดงไม้ราบเรียบ การตั้งบังไพรฝั่งตรงข้ามลำห้วยจึงเหมาะสม

รู้จักพื้นที่รวมถึงแหล่งอาหารที่สัตว์ต้องมาใช้คือสิ่งจำเป็นไม่น้อยกับงานถ่ายภาพ

ดงไผ่ด้านหลังช่วยให้ผมเดินเข้าออกในตอนเช้าและเย็นได้โดยสัตว์ที่อยู่ในโป่งไม่ตื่นมากนัก

 

“หมา” ทำให้ผมรู้จักกระทิงและวัวแดง มากขึ้นด้วย

วันหนึ่งราวๆ 9 โมงกว่า จู่ๆ กระทิงฝูงที่กำลังพักผ่อนอยู่ข้างๆ โป่ง บ้างยืนเคี้ยวเอื้อง บ้างนอน บางตัวก้มกินน้ำในแอ่งน้ำซับ ต่างเงยหน้าขึ้นชูคอสูง จมูกสูดกลิ่น หันมองไปด้านหลัง

มีเสียงร้องของสัตว์ดังขึ้นก่อนมีร่างวัวแดงตัวหนึ่งวิ่งฝ่าเข้ามาในฝูงกระทิง

ด้านหลังวัวแดง หมาไน 3 ตัววิ่งตามมาอย่างกระชั้นชิด

วัวแดงวิ่งถึงลำห้วย ขณะกระทิงตัวผู้ 2 ตัว วิ่งเข้าหาหมาไน ทั้งคู่ใช้ขาหน้ากระโจนเข้าหานักล่า หมาไนสองตัวหลบอย่างว่องไว ส่วนอีกตัวกระโจนลงลำห้วย เข้าถึงตัววัวแดง

ท่ามกลางความชุลมุน แผลแรกบริเวณก้นถูกเปิด สายน้ำสีน้ำตาล มีสีแดงของเลือดปะปน

หมาไนอีกสองตัวมาสมทบ

เสียงโหยหวนเงียบลง ฝูงกระทิงผละไป

วิญญาณหนึ่งลอยจากร่าง พร้อมกับงานของนักล่าสำเร็จอีกครั้ง

“กระทิงมันกล้า ไม่ค่อยกลัวผู้ล่า เอามันไม่ง่ายหรอก”

ผมได้ยินเรื่องของกระทิงเช่นนี้

วันนั้นผมเห็นเป็นภาพจริง

ผมไม่รู้หรอกว่า ทำไมวัวแดงตัวนั้นจึงไม่หันกลับมาสู้ ซึ่งอาจมีโอกาสรอดพ้น

หรือบางทีนั่นอาจเป็นวิธีการสู้ของมัน

 

ผมถือวิสาสะ เรียกหมาไนตัวที่นอนเอาท้องแช่น้ำ ห่างจากบังไพรไปราวๆ 5 เมตร ว่า “เจ้าแดงเพลิง”

ผมจดจำมันได้เสมอ คิดถึง และพูดถึงมันบ่อย

รูปร่างล่ำสัน สีเข้มกว่าตัวอื่นๆ รวมทั้งท่าทางผึ่งผาย มีอาการระมัดระวังตลอด

มันรู้ว่าผมอยู่ที่นั่น ถึงมานอนเอาท้องแช่น้ำดูท่าทีอยู่ใกล้ๆ

วันแรก หลังจากล้มวัวแดงได้ เมื่อกินลูกนัยน์ตาและเนื้อช่วงท้อง อันเป็นสิทธิ์ของหัวหน้าฝูงแล้ว มันสัมผัสได้ว่า ผมอยู่ไม่ไกล เดินเข้ามาชิดบังไพร ใกล้กระทั่งได้ยินเสียงหายใจ

ระหว่างเรา มีเพียงผ้าลายพรางบางๆ กั้นไว้ มันเดินถอยหน้า ถอยหลัง กลิ่นที่สัมผัสได้ไม่น่าวางใจ ทำท่าทางอย่างนั้นอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนถอยไป และนอนเอาท้องแช่น้ำ จ้องมาทางผมเขม็ง

รุ่งขึ้น หมาไนฝูงนี้ยังอยู่

เจ้าแดงเพลิง ทำเหมือนเดิม แต่ดูเหมือนความระแวงจะลดลง ท่าทีเป็นมิตรขึ้น

ซากวัวแดงเหลืออีกกว่าครึ่งตัว บ่ายๆ หมูป่าร่างกำยำ เดินงุดๆ เข้ามา หมาไน 3-4 ตัวเข้าสกัดทันที บางตัวผงกหัวขึ้นดูนิดหน่อยแล้วนอนต่อ หมูป่าไม่แสดงท่าทีหวั่นเกรง เดินถึงซาก คาบเนื้อชิ้นโตวิ่งกลับไป

หมาไนที่แสดงอาการหวงเหยื่อ ตอนนี้ได้แต่ยืนมองเฉยๆ

หมูโทน จะมาเอาเนื้อวันละสองครั้ง คือตอนเช้าและบ่าย

วันหลังๆ นี้ ไม่มีหมาไนตัวไหนสนใจ อย่างมากก็ผงกหัวขึ้นมอง

อาจเพราะเหยื่อตัวโตพอแบ่งปันกันได้

หรือเพราะการพบกันครั้งนี้ ระหว่างเรา ใกล้มาก

ใกล้พอที่ผมเห็นชีวิตอีกด้านของพวกมัน

 

ผ่านไป 3 วัน ซากโชยกลิ่น อีกา 4-5 ตัวมาวนเวียน และช่วงบ่าย เหี้ยก็มาถึง

เหี้ยมาทำงานของมัน กำจัดซากเน่า

เหี้ยตัวโต เข้าไปกินก่อน ตัวเล็กต้องรอ เมื่อตัวเล็กใจร้อนไม่อยากรอคิว จะโดนตัวโตไล่สั่งสอน วิ่งหนีหัวซุน

เมื่อสัตว์กินพืชตัวหนึ่งตายเพราะคมเขี้ยวของนักล่า

หมายถึงงานเลี้ยงเริ่มต้น

8 วันที่ได้อยู่กับหมาไนฝูงนี้ ได้เห็นพวกมันในขณะพักผ่อน เล่น หยอกล้อ นอนหลับ ใจกว้าง แบ่งเหยื่อให้ตัวอื่น

คล้ายกับว่า พวกมันสอนให้ผมรู้ถึงเรื่องธรรมดาๆ

ตัดสินอะไรโดยยังไม่รู้จักอย่างแท้จริง

ดูเหมือนจะทำให้ “ข้างใน” เดินทางไปไม่ถึงไหน

 

นักล่าซึ่งถูกเรียกว่า “หมา” ฝูงหนึ่ง

ทำให้ผม “เปลี่ยน” จากที่คิดถึงสัตว์ป่าโดยใช้สมอง มาใช้หัวใจ

หมาไน จากไปในวันที่ซากวัวแดงเหลือเพียงกระดูก ต่อไปจะเป็นหน้าที่ของเม่นเข้ามาจัดการ

เจ้าแดงเพลิง พาสมาชิกในฝูงไปทำหน้าที่

ผมเดินกลับแคมป์ บนทางด่านแคบๆ รก คดเคี้ยว

เราต่างเดินมุ่งหน้าไปตามหนทางของตัวเอง