รายงานพิเศษ / สงครามยังไม่จบ โผทหารสะเทือน ‘บิ๊กตู่’ จัดทัพใหม่ จับกระแส ‘บิ๊กป้อม’ คัมแบ๊กกลาโหม คุมตำรวจ เสริมแกร่งหัวหน้าพรรค

รายงานพิเศษ

 

สงครามยังไม่จบ

โผทหารสะเทือน

‘บิ๊กตู่’ จัดทัพใหม่

จับกระแส ‘บิ๊กป้อม’

คัมแบ๊กกลาโหม คุมตำรวจ

เสริมแกร่งหัวหน้าพรรค

 

ความจริงประการหนึ่งของการแต่งตั้งโยกย้ายทหารก็คือ ตราบใดที่โผยังไม่ออก ยังไม่มีการโปรดเกล้าฯ ลงมา ทุกคนก็ยังมีสิทธิ์ที่จะหวัง และเกิดการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ

เป็นมาแบบนี้ ทุกยุคสมัย…

แม้สัญญาณหลายอย่างในกองบัญชาการกองทัพไทยจะสะท้อนว่า ศึกชิงเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดจบแล้วก็ตาม

แต่ความเปลี่ยนแปลงก็สามารถที่จะเกิดขึ้นได้

เพราะตอนนี้ยังเป็นแค่การเริ่มต้น!!

สัญญาณอย่างหนึ่งที่สะท้อนว่า บิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ เสนาธิการทหาร ที่เป็นตัวเต็งจะขึ้นเป็น ผบ.ทหารสูงสุด ตามแผนเดิม

ก็เมื่อบิ๊กกบ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.ทหารสูงสุด มอบหมายให้ พล.อ.เฉลิมพลในฐานะ เสธ.ศปม. ไปประชุม ศบค.ที่ทำเนียบรัฐบาลแทนบ่อยครั้งในระยะหลังๆ

เสมือนเป็นการเตรียมผ่องถ่ายงานให้ พล.อ.เฉลิมพลสานต่อ และมีอะไร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็จะได้หารือสั่งการกับ พล.อ.เฉลิมพลโดยตรงเลย

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์เรียก พล.อ.เฉลิมพลที่มาประชุม ศบค.ที่ทำเนียบ กับ พล.อ.พรพิพัฒน์ มาคุยแบบตัวต่อตัว

ก่อนที่จะมีข่าวสะพัดในกองทัพไทยว่า โผโยกย้ายทัพไทยจบแล้ว จบที่ พล.อ.เฉลิมพลเป็น ผบ.ทหารสูงสุด

บิ๊กเล็ก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รอง ผบ.ทบ. จะไม่ได้ข้ามมาเป็น ผบ.ทหารสูงสุดแล้ว

 

แต่ก็ต้องจับตามองกันต่อไปว่า พล.อ.ณัฐพลน้องรักที่ พล.อ.ประยุทธ์ใช้งานมาตลอด จะไปลงในตำแหน่งใด

เพราะการจะให้ พล.อ.ณัฐพลนั่งเป็นรอง ผบ.ทบ.ต่อไปเป็นปีที่ 3 นั้น ก็จะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ของ ทบ. เพราะไม่เคยมีใครนั่งเป็นรอง ผบ.ทบ.เกิน 1 ปี แต่นี่ พล.อ.ณัฐพลเป็นรอง ผบ.ทบ.ครองอัตราจอมพลมา 2 ปีแล้ว และกำลังจะเข้าสู่ปีที่ 3

แต่ใน ทบ.มีบิ๊กเป้ง พล.อ.ธีรวัฒน์ บุณยะวัฒน์ เสธ.ทบ. ที่จ่อจะขยับขึ้นเป็นรอง ผบ.ทบ.แทน

จากโผเดิมที่ พล.อ.ธีรวัฒน์จะข้ามไปเป็นรองปลัดกลาโหม

เพราะทั้ง พล.อ.ณัฐพล และ พล.อ.ธีรวัฒน์ ล้วนไม่อยากที่จะออกไปเกษียณนอกกองทัพบก เหล่าทัพกำเนิด

แม้ว่าจะมีแรงเชียร์ให้ พล.อ.ณัฐพลข้ามไปเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) แทนบิ๊กอั๋น พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา ที่จะเกษียณ เพราะนายกฯ เรียกตัวมาช่วยงานที่ ศบค.ทำเนียบรัฐบาล และทำงานร่วมกับ พล.อ.สมศักดิ์มาตลอดทุกเรื่องก็ตาม

แต่ พล.อ.ณัฐพลก็ไม่อยากที่จะมาแย่งบิ๊กโจ้ พล.อ.ณตฐพล บุญงาม ที่มาช่วยราชการ สมช. จ่อที่จะขึ้นเป็นเลขาฯ สมช.คนใหม่

แต่เพราะ พล.อ.ณตฐพลเป็นรุ่นน้อง ตท.21 และมีอายุราชการถึงกันยายน 2565 สามารถที่จะเปิดทางให้ พล.อ.ณัฐพล รุ่นพี่ ตท.20 มาเป็นเลขาฯ สมช.ไปก่อนก็ได้ เพราะ พล.อ.ณัฐพลจะเกษียณ 2564 นี้แล้ว

ดังนั้น ทุกคนจึงรอ พล.อ.ประยุทธ์ชี้ชัดว่า จะวาง พล.อ.ณัฐพลในตำแหน่งใด ก่อนที่ทุกตำแหน่งจะลงตัว

 

แต่ทว่าท่ามกลางกระแสข่าวว่าจบแล้ว แต่ พล.อ.ณัฐพลนั้นยังไม่หมดหวังที่จะชิงเก้าอี้ ผบ.ทหารสูงสุด เพราะมีข่าวว่าผู้ใหญ่คนสำคัญหลายคนยังเห็นว่า พล.อ.ณัฐพลควรจะได้เป็น ผบ.ทหารสูงสุด

เรื่องความสามารถไม่ต้องพูดถึง เพราะเป็นคนเดินงานสำคัญของกองทัพมาตลอด ตั้งแต่ก่อนยุค คสช.จนมาปัจจุบัน เป็นมือทำงานของบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มายาวนาน จนถูกเรียกว่าเป็นน้องรักเลยทีเดียว

คาดว่าผู้ใหญ่เหล่านั้นต้องการที่จะคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ให้พิจารณา พล.อ.ณัฐพลในตำแหน่ง ผบ.ทหารสูงสุด

โดยมีรายงานว่า เมื่อเช้าวันอังคารที่ผ่านมา ก่อนที่จะเดินทางไปชี้แจงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2564 ที่รัฐสภานั้น พล.อ.ประยุทธ์ได้ไปรับประทานอาหารเช้ากับบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พี่ใหญ่ ที่บ้านป่ารอยต่อฯ ก่อน

แน่นอนว่ามีบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ร่วมวงด้วย พร้อมหน้า 3 พี่น้องบูรพาพยัคฆ์

ท่ามกลางข่าวสะพัดว่า นอกจากพูดถึงการที่ พล.อ.ประวิตรขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐแล้ว มีการหารือเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีด้วย

และยังมีการหารือถึงโผโยกย้ายทหาร หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้ขอให้ ผบ.เหล่าทัพส่งรายชื่อนายทหารระดับ ผบ.เหล่าทัพ และ 5 เสือ ทบ. ผ่านทางไลน์ให้ทราบก่อน

ทั้งนี้เพราะโผโยกย้ายทหารครั้งนี้เป็นครั้งใหญ่ที่มีการเปลี่ยนตำแหน่งหลักเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ ผบ.เหล่าทัพ ลงมาถึงแม่ทัพนายกอง

เพราะทั้ง พล.อ.พรพิพัฒน์ ผบ.ทหารสูงสุด บิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. บิ๊กลือ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผบ.ทร. และบิ๊กนัต พล.อ.อ.มานัต วงษ์วาทย์ ผบ.ทอ. ก็ล้วนจะเกษียณราชการ 30 กันยายนนี้แล้ว

 

พล.อ.ประวิตรจึงแนะนำให้ พล.อ.ประยุทธ์จัดโผทหารในส่วนหัวให้ลงตัวเสียก่อน จะได้จัดง่าย และลงตัวง่าย ดีกว่าปล่อยให้ ผบ.เหล่าทัพจัดคนเดียวแล้วเสนอขึ้นมา แล้วต้องมาแก้หลายครั้ง

เพราะเมื่อครั้งที่ พล.อ.ประวิตรเป็น รมว.กลาโหม ก็ได้เคยใช้สูตรโยกย้ายแบบนี้มาแล้ว ในการจัดระดับหัวของแต่ละเหล่าทัพให้ลงตัวก่อน

แต่ทว่าความสำคัญของโผโยกย้ายทหารระดับนายพลครั้งนี้ ถือเป็นครั้งใหญ่ครั้งแรกของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์หลังการเลือกตั้ง ที่มีการเปลี่ยน ผบ.เหล่าทัพพร้อมกันทีเดียว 4 คน

และเป็นครั้งแรกที่พี่น้อง 3 ป. กลายเป็นนักการเมืองเต็มตัวไปแล้ว โดยเฉพาะเมื่อ พล.อ.ประวิตรนั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

อันสะท้อนว่า พี่น้อง 3 ป.จะเดินบนถนนสายการเมืองนี้อย่างเต็มตัวแล้วและยาวนาน พรรคพลังประชารัฐไม่ใช่แค่พรรคเฉพาะกิจที่ตั้งขึ้นมาสืบทอดอำนาจ คสช.แค่นั้น

 

พล.อ.ประวิตรประกาศหลังเป็นหัวหน้าพรรคว่า จะทำให้พรรคมั่นคง เข้มแข็ง กลมเกลียวสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว เป็นองค์กรที่ชัดเจนและเข้มแข็ง ไปสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตลอดไป

ดังนั้น โผทหารครั้งนี้จึงอยู่ในมือพี่น้อง 3 ป. ที่เป็นนักการเมืองเต็มตัวแล้ว แม้ว่าโยกย้ายทหารตุลาคมที่แล้ว จะถือเป็นอีกโผของรัฐบาลนี้ก็ตาม

แต่ด้วยความเคยชิน จากการที่เป็นนายกฯ ทหารมา 5 ปี ในยุค คสช. ส่วน พล.อ.ประวิตรก็เป็น รมว.กลาโหม ที่เป็นทหารเก่ามา 5 ปี ที่เจรจาจัดโผทหารกับน้องๆ ผบ.เหล่าทัพ แบบพี่น้องสายเลือดเตรียมทหาร

จึงทำให้คาดกันว่า โผทหารครั้งใหญ่ครั้งนี้มีแนวโน้มที่ พล.อ.ประยุทธ์ที่เป็น รมว.กลาโหมด้วย จะมีส่วนในการจัดโผทหาร วางตัวนายทหารในตำแหน่งสำคัญต่างๆ ด้วย

หาใช่จะปล่อยให้ ผบ.เหล่าทัพจัดกันเองในกองทัพ

โดยอาจลืมไปว่า ปัจจุบันนี้เป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง และเป็นนักการเมืองกันไปแล้ว ควรที่จะต้องมีระยะห่างในการเข้ามาล้วงลูกกองทัพ แม้จะเป็นรุ่นพี่เตรียมทหารก็ตาม

แต่ด้วยสไตล์ของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตรแล้ว ก็จะยังคงต่อรองหรือตัดสินใจโดยไม่ต้องเกรงใจ จึงทำให้โผทหารจะยังไม่ลงตัวจนกว่า พล.อ.ประยุทธ์จะเรียกคุย ในนามคณะกรรมการ 7 เสือกลาโหม

ที่มีทั้ง รมว.กลาโหม รมช.กลาโหม ปลัดกลาโหม ผบ.ทหารสูงสุด ผบ.ทบ. ผบ.ทร. และ ผบ.ทอ.

อีกทั้ง ผบ.เหล่าทัพชุดนี้กำลังนับถอยหลังจะเกษียณ จึงทำให้อำนาจการต่อรองกับ พล.อ.ประยุทธ์ ลดน้อยลงด้วย

 

ด้วยความที่เป็นทหาร เป็นอดีต ผบ.ทบ. เป็นอดีตหัวหน้าคณะปฏิวัติ เป็นอดีตนายกฯ คสช. ที่มีอำนาจเต็มมือมาตลอด จึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์กลายเป็นนายกฯ ที่แข็งแกร่ง ที่ฝ่ายทหารรุ่นน้องเตรียมทหารต้องเกรงใจ

ท่ามกลางกระแสข่าวสะพัดจากมูลนิธิป่ารอยต่อฯ ว่า ให้จับตาว่า พล.อ.ประวิตรจะรีเทิร์นมาคุมกลาโหมและตำรวจ เป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง อย่างเต็มภาคภูมิอีกครั้ง

ในการปรับ ครม.ที่จะมีขึ้นในอีกไม่นานนี้

ทั้งนี้เพราะตลอด 1 ปีที่ พล.อ.ประยุทธ์ควบ รมว.กลาโหมนั้น ไม่มีเวลาในการดูแลงานกลาโหมเท่าใดนัก เพราะรู้กันดีว่า ควบ รมว.กลาโหมในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น

พล.อ.ประยุทธ์เข้ากระทรวงกลาโหมแค่เดือนละ 1 ครั้ง เมื่อมาประชุมสภากลาโหมเท่านั้น และอีกครั้งไปประชุมสภาองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (อผศ.) เท่านั้น

งานประชุม หรือต้อนรับแขกต่างประเทศ ในฐานะ รมว.กลาโหม และงานภายในของกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยมาร่วม แต่มอบหมายให้บิ๊กช้าง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ดูแลรับผิดชอบแทนทั้งหมด

โดยเฉพาะในช่วงโควิดระบาดนั้น พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะนายกฯ ติดภารกิจมากมาย จึงไม่ได้ร่วมประชุมสภากลาโหมเลยถึง 3 เดือนต่อเนื่องกัน

บทบาทของ พล.อ.ชัยชาญจึงเป็นกลไกสำคัญในการเดินงานของกลาโหม และมีบิ๊กณัฐ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกลาโหม เป็นหลักในกลไกของข้าราชการประจำในกลาโหม

ทั้ง พล.อ.ชัยชาญ และ พล.อ.ณัฐ ล้วนเป็นน้องรัก มือขวา มือทำงานของ พล.อ.ประวิตรมาตลอดเช่นกัน

พล.อ.ประวิตรเป็นคนสนับสนุนให้ พล.อ.ชัยชาญที่เกษียณจากปลัดกลาโหม มาเป็น รมช.กลาโหม ตั้งแต่ยุค คสช.

ตลอดเวลา 1 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตรยังคงแวะเวียนมาที่กลาโหม ในการขอมาใช้สถานที่ในการรับแขกต่างประเทศ และมาใช้เป็นที่ประชุมฝ่ายความมั่นคงอยู่เนืองๆ เพราะอบอุ่น คุ้นเคย มากกว่าใช้สถานที่ที่ทำเนียบรัฐบาล

จนมีทหารกลาโหมระดับล่างอยากให้ พล.อ.ประวิตรกลับมาเป็น รมว.กลาโหมมากกว่า

 

แม้ว่าเดิมเหตุผลหนึ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องมาคุมทหาร ตำรวจเอง เพราะต้องการลดภาระงานของ พล.อ.ประวิตรที่อายุมากขึ้น ไม่ค่อยแข็งแรง และต้องการให้ พล.อ.ประวิตรไปทำงานการเมืองอย่างเต็มที่ เพราะวางตัวให้ พล.อ.ประวิตรเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐไว้นั่นเอง

แต่มาวันนี้ ปัจจัยแวดล้อมเปลี่ยนไป หากให้ พล.อ.ประวิตรคุมทหารและตำรวจเอง จะยิ่งเพิ่มพลังอำนาจและบารมีให้พี่ใหญ่มากขึ้น แม้จะเสี่ยงต่อการถูกโจมตีมากขึ้นด้วยก็ตาม

เพราะ พล.อ.ประวิตรนั้นก็พร้อมที่จะทำงานหนักในการคุมทหารและตำรวจตามเดิม

ที่ผ่านมาตลอด 1 ปีของรัฐบาลประยุทธ์ 2 นั้น พล.อ.ประวิตรก็ยังคงเป็นเสมือน รมว.กลาโหม เพราะ ผบ.เหล่าทัพยังคงมากินข้าวเช้าที่บ้านป่ารอยต่อฯ ด้วยทุกวันศุกร์ เพิ่งมาว่างเว้นไปในช่วงโควิด

อีกทั้งทุกบ่ายวันจันทร์และศุกร์ พล.อ.ประวิตรยังคงมีประชุมหน่วยข่าวกรองของรัฐบาล และของตำรวจ ทหาร มาตลอดเช่นเคย

เพราะหากพี่ใหญ่เอ่ยปากบอกน้องตู่ว่า พี่ยังไหว ยังทำงานได้ ทั้งคุมทหารและตำรวจแล้ว พล.อ.ประยุทธ์จะว่ายังไง

หรืออาจให้พี่ใหญ่คุมตำรวจอย่างเดียว ตามที่มีแกนนำนักการเมืองในพรรครัฐบาลสะพัดข่าวออกมา ถึงการรีเทิร์นของ พล.อ.ประวิตรที่จำเป็นต้องมาคุมตำรวจ

 

แม้ว่า พล.อ.ประวิตรจะปฏิเสธว่าไม่จริงแล้วก็ตาม แต่ทว่ากองเชียร์กลับเชียร์ให้คัมแบ๊กไม่น้อย และเป็นจังหวะที่บิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.เกษียณราชการพอดี

ด้วยรู้กันดีว่า ในระยะหลังๆ มานี้ ตั้งแต่มีปัญหากับบิ๊กโจ๊ก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ลูกเลิฟบิ๊กป้อม มีระยะห่างทางใจของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กับ พล.อ.ประวิตร

มาตอนนี้ มีการปล่อยกระแสการรีเทิร์นของ พล.อ.ประวิตร พร้อมๆ กับบิ๊กโจ๊กด้วย ในทำนองที่ว่า เคลียร์ทุกสายเรียบร้อยแล้ว

ท่ามกลางการจับตามองว่า การปรับ ครม.ครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการปรับครั้งใหญ่แล้ว น่าจะมีความเปลี่ยนแปลงอีกหลายอย่างตามมา

   อยู่ที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะมีเหตุผลอะไร และกล้าขัดใจพี่ใหญ่หรือไม่ เท่านั้นเอง