ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 มิถุนายน 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ |
ผู้เขียน | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ |
เผยแพร่ |
ในวันที่ 7 มิถุนายน 2020 ที่ผ่านมาเป็นวาระครบรอบ 172 ปีชาตกาลของหนึ่งในศิลปินคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของโลก ผู้อยู่ร่วมในกระแสเคลื่อนไหวศิลปะยุคหลังอิมเพรสชั่นนิสต์ (Post-Impressionism)
ศิลปินผู้นั้นมีชื่อว่า
ปอล โกแกง (Paul Gauguin)
ศิลปินชาวฝรั่งเศสผู้เป็นที่รู้จักจากการทดลองใช้ทฤษฎีสีสันและสไตล์การทำงานรูปแบบใหม่ที่แตกแขนงออกจากงานศิลปะแบบอิมเพรสชั่นนิสต์ (Impressionism) ในยุคก่อนหน้า
ยูจีน อองรี ปอล โกแกง (Eugène Henri Paul Gauguin) เกิดในปี 1848 ที่กรุงปารีส
ในช่วงเยาว์วัย ปอล โกแกง และครอบครัวต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ในเปรู บิดาของเขาเสียชีวิตระหว่างทาง เขากับมารดาและพี่สาวได้อาศัยอยู่ที่เมืองลิมา ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาประทับใจ และถ่ายทอดลงในผลงานของเขาในเวลาต่อมา
ภายหลังเขาย้ายกลับสู่มาตุภูมิ หากแต่ความทรงจำในช่วงวัยเยาว์ก็ทำให้เขาเป็นคนที่โหยหาดินแดนอันห่างไกลไปตลอดชีวิต
ในช่วงวัยรุ่น โกแกงทำงานหลากหลายอาชีพ ทั้งเป็นลูกเรือเดินสมุทร เป็นทหารเรือ และจบลงด้วยการเป็นนักเล่นหุ้น แต่งงานมีครอบครัว โดยใช้เวลาว่างวาดรูป และสะสมงานศิลปะ
ชีวิตของเขาคงจะเป็นปกติสุขดี ถ้าไม่บังเอิญได้พานพบกับศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์ชาวฝรั่งเศสอย่างคามิล ปิซาร์โร่ ซึ่งแนะนำให้เขาเอาดีกับการทำงานศิลปะและชักชวนให้เขารู้จักกับศิลปินคนอื่นๆ
จนกระทั่งวันหนึ่งเขาตัดสินใจละทิ้งการงานที่มั่นคงและชีวิตครอบครัวที่ผาสุก ออกมาเป็นจิตรกรเต็มตัว เคียงคู่ไปกับศิลปินในกลุ่มอย่างคามิลล์ ปิซาร์โร (Camille Pissarro), ปอล เซซานน์ (Paul Cèzanne) และวินเซนต์ แวน โก๊ะห์ (Vincent van Gogh)
โกแกงเคยมีมิตรภาพอันแน่นแฟ้นกับวินเซนต์ แวน โก๊ะห์ และทำงานเคียงข้างเขาอย่างเปี่ยมสีสันในเมืองอาร์ล ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ก่อนที่จะเกิดความขัดแย้งทางความคิดและอุดมการณ์ในการทำงานศิลปะ จนโกแกงแยกตัวออกไปด้วยความบาดหมาง
ประจวบกับในช่วงนั้นศิลปะจากตะวันออกและแอฟริกันเริ่มแพร่หลายเข้าสู่ยุโรป ทำให้เขาสนใจศึกษาค้นคว้า
และในที่สุดเขาก็ตัดสินใจหันหลังให้กับสังคมศิลปะตะวันตกอย่างสิ้นเชิง และปลีกตัวไปใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนอันห่างไกลผู้คน ด้วยการไปใช้ชีวิตอยู่บนเกาะตาฮีตี มหาสมุทรแปซิฟิกใต้
เขาตื่นตาตื่นใจไปกับสภาพแวดล้อมและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวพื้นเมืองบนเกาะ ที่ชาวยุโรปอย่างเขาไม่คุ้นเคย แรงบันดาลใจจากสถานที่แห่งนี้ส่งผลให้เขาสร้างสรรค์ผลงานอันโดดเด่นออกมาเป็นจำนวนมาก
เขาวาดภาพที่ถ่ายทอดวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของชนพื้นเมืองออกมาอย่างอ่อนโยน ด้วยสีสันสดใสจัดจ้าน รูปทรงที่แบนราบ หยาบกระด้างบิดเบี้ยว หากแต่บริสุทธิ์ และซื่อตรง
ด้วยการใช้ทฤษฎีแสงสีของอิมเพรสชั่นนิสต์ ผนวกกับประสบการณ์ทางศาสนาจากชุมชนในชนบทของแคว้นบริตตานีในฝรั่งเศส และการสัมผัสกับภูมิทัศน์ในหมู่เกาะแคริบเบียน และทฤษฎีสีสันที่เขาศึกษาและทดลองด้วยตัวเองจากการเฝ้าสังเกตธรรมชาติ และความรู้ใหม่ๆ ทางวิทยาศาสตร์ที่เพิ่งค้นพบในยุคสมัยนั้น
ในภายหลังการทำงานในลักษณะนี้ถูกเรียกว่า Synthetism อันเป็นวิธีการทำงานศิลปะที่ศึกษาและวิเคราะห์วัตถุในธรรมชาติ ในฐานะที่มันเป็นส่วนประกอบของพื้นผิว เส้นสี และรูปทรงในเชิงสัญลักษณ์ จึงนิยมถ่ายทอดผลงานออกมาเป็นสองมิติแบนราบ มากกว่าจะแสดงให้เห็นมิติความลึกเพื่อเลียนแบบความเป็นจริงแบบตรงๆ
ด้วยการเสาะแสวงหาความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับโลกธรรมชาติที่เขาได้สัมผัสจากชุมชนต่างๆ ในเฟรนช์พอลินีเชีย และวัฒนธรรมนอกโลกตะวันตก โกแกงมองว่าภาพวาดของเขาเป็นปรัชญา การทำสมาธิ และการแสวงหาความหมายแห่งการดำรงอยู่ของมนุษย์
เช่นเดียวกับความเป็นไปได้ในการเข้าถึงแก่นแท้ทางศาสนา และการเสาะหาคำตอบเกี่ยวกับการดำรงชีวิตอย่างใกล้ชิดกับธรรมชาติ โกแกงเป็นแบบอย่างของศิลปินพเนจรผู้แสวงหาความลึกลับแห่งธรรมชาติ
โกแกงเป็นหนึ่งในศิลปินคนสำคัญแห่งช่วงปลายยุคศตวรรษที่ 19 ผู้บุกเบิกกระแสเคลื่อนไหวลัทธิสัญลักษณ์นิยม (Symbolism) เขาเป็นจิตรกร, ประติมากร, ศิลปินภาพพิมพ์, ศิลปินเซรามิก และนักเขียน
ผลงานศิลปะอันซื่อบริสุทธิ์ของเขาส่งแรงบันดาลใจต่องานศิลปะอนารยะ (Primitive art) ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะของชนเผ่าในประเทศอันห่างไกลอย่างแอฟริกา เอเชีย และเฟรนช์พอลินีเชีย ที่มีความบริสุทธิ์ทางจิตวิญญาณและใกล้ชิดกับพลังแห่งธรรมชาติและจักรวาล มากกว่าสังคมที่มุ่งแสวงหาแต่ความเจริญทางวัตถุอย่างยุโรปและอเมริกัน
เขายังยกระดับงานศิลปะพื้นเมืองอย่างงานแกะสลักและภาพพิมพ์แกะไม้ให้กลายเป็นศิลปะที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล
โกแกงเป็นศิลปินอีกคนหนึ่งในกลุ่มโพสต์อิมเพรสชั่นนิสต์ที่ส่งอิทธิพลอย่างสูงต่อพัฒนาการของศิลปะสมัยใหม่
เขาเป็นศิลปินหัวขบถที่ทุ่มเทและอุทิศทั้งชีวิตให้กับการทำงานศิลปะไม่น้อยหน้าศิลปินผู้เคยเป็นเพื่อนสนิทของเขาอย่างแวน โก๊ะห์เลย
ถึงแม้ในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ ผลงานของเขายังไม่เป็นที่นิยมนัก
แต่ภายหลังจากที่เสียชีวิต ผลงานของเขากลับได้รับความนิยม
และส่งอิทธิพลต่อกระแสศิลปะหัวก้าวหน้า (Avant-garde) ของฝรั่งเศส และศิลปินสมัยใหม่ทั่วโลกอย่างมากมาย
เช่น ปาโบล ปิกัสโซ่, อองรี มาตีส จากการผลักดันของนักค้างานศิลปะ แอมบรัวส์ โวลาร์ (Ambroise Vollard) ผู้จัดนิทรรศการแสดงผลงานชิ้นสำคัญในช่วงท้ายของชีวิตโกแกงที่ปารีส ในปี 1903 และ 1906
ในปัจจุบัน ชื่อของโกแกงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งเสรีภาพทางศิลปะและการปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ให้ก้าวพ้นออกจากกรอบและขีดจำกัดทั้งปวง
ขอบคุณภาพจาก https://bit.ly/3dOtImq
พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่