คำ ผกา | โลงศพของคนเขลา

คำ ผกา

ในขณะที่หมอบางสำนักออกมาขู่เรื่องการระบาดของโควิด-19 ระลอกสอง แต่สิ่งที่ฉันคิดว่าน่ากลัวกว่าโควิดคือ สถิติที่สภาพัฒน์เพิ่งประกาศออกมา นั่นคือ การเพิ่มขึ้นของจำนวนคนยากจนในประเทศไทย

เส้นที่ใช้วัดความยากจนคือ กลุ่มคนที่มีรายได้ต่ำกว่า 2,700 บาทต่อเดือน ปี 2560 คนยากจนของไทยมีร้อยละ 7.87 แล้วในปี 2561 ตัวเลขพุ่งขึ้นเป็นร้อยละ 9.85 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 2 เบ็ดเสร็จตอนนี้

ในประเทศไทยมีคนที่มีรายได้ต่ำว่า 2,700 บาทต่อเดือนอยู่ถึง 6.7 ล้านคน

พักตัวเลข 6.7 ล้านคนไว้ตรงนี้ หันมาดูอีกตัวเลขหนึ่งเกี่ยวกับการศึกษาที่สัมพันธ์กับฐานะทางเศรษฐกิจ

สภาพัฒน์ระบุว่า เด็กที่เข้าเรียนในปีการศึกษา 2546-2548 (ซึ่งควรจะเรียนชั้น ม.3 และ ม.6 ในปีการศึกษา 2560)

หลุดออกไปจากระบบการศึกษาภาคบังคับถึงร้อยละ 20

หลุดจากการศึกษาระดับมัธยมปลายหรือ ปวช. ถึงร้อยละ 31

ดูต่อเนื่องไปที่ระดับอุดมศึกษาก็หลุดสะสมไปอีกถึงร้อยละ 38

สำหรับฉัน การที่เรามีเยาวชนต้องหลุดออกจากการศึกษาภาคบังคับไปถึงร้อยละ 20 เพราะความยากจน (ไม่ใช่เพราะเห็นว่าระบบการศึกษามันห่วยเหลือทน) เป็นเรื่องที่น่าตระหนกเสียยิ่งกว่าการระบาดของโควิด

และเป็นเรื่องที่สังคมไทยไม่ควรจะเดินผ่านตัวเลขนี้ไปโดยไม่ทำอะไร

หนักกว่าตัวเลขร้อยละ 20 แห่งการหลุดออกจากระบบการศึกษาภาคบังคับเพราะความยากจน หันมาจำแนกสถิติตามรายได้ของพ่อ-แม่ ผู้ปกครอง เขาพบว่า เด็กที่มาจากครอบครัวรายได้สูงสุด ได้เรียนต่อชั้น ม.ปลายถึงร้อยละ 80.3 ได้เรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ร้อยละ 63.1

ในขณะที่กลุ่มเด็กจากครอบครัวที่ยากจนที่สุดได้เรียนต่อชั้นมัธยมปลายหรือ ปวช. ร้อยละ 40.5 เทียบกับตัวเลขร้อยละ 80.3 ของกลุ่มเด็กรวย จะเห็นว่าทิ้งห่างกัน ครึ่งต่อครึ่ง!

มาดูที่ระดับอุดมศึกษา กลุ่มเด็กยากจนที่สุดหลุดไปถึงการศึกษาระดับนี้แค่ร้อยละ 4.2!

ในขณะที่เด็กรวยได้ไปต่อถึงร้อยละ 63.1 ลองเทียบดูว่าความเหลื่อมล้ำนี้ห่างกี่เท่า ระหว่าง 4 กับ 63!!!

แถมภายในปีเดียว ตัวเลขคนที่มีรายได้ต่ำกว่า 2,700 บาท เพิ่มขึ้นพรวดทีเดียว 2%

อันนี้คนไทย สังคมไทย ควรจะต้องช็อก ควรจะต้องตระหนกกับตัวเลขนี้ให้มากที่สุด

เพราะต่อให้คุณไม่ใช่คนจนของประเทศนี้ แต่คุณก็มีสภาพเหมือนคนมีบ้านที่สวยปลอมๆ สวยผุๆ โดดเด่นอยู่ท่ามกลางกองขยะ น้ำเน่าเสีย

วันหนึ่งอีบ้านสวยปลอมๆ หลังนั้นที่คุณคิดว่าสวยเหลิอเกิน ปลอดภัยเหลือเกิน ก็ต้องถล่มลงมาเป็นส่วนหนึ่งของกองขยะนั้นอยู่ดี

เพราะกองขยะจะใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ และบ้านสวยๆ ปลอมๆ นั้นจะเรียวเล็กโอนเอนพร้อมล้มโครมครามมาได้ทุกเมื่อ

และต่อให้มันไม่ล้ม คำถามที่เราต้องถามตัวเองคือ มันสนุกเหรอกับการมีปราสาทสวยอยู่กลางกองขยะมหึมา

และถ้าปีล่าสุดเรามีตัวเลขคนยากจนอยู่ที่ 6.7 ล้านคน

สำหรับปีนี้ที่เศรษฐกิจประเทศไทยได้รับผลกระทบจากมาตรการรับมือกับโควิดของรัฐบาล (ฉันยืนยันว่า ผลกระทบนี้ไม่ได้มาจากโควิดด้วยตัวของมันเอง เพราะลำพังโควิด ทุกประเทศได้รับผลกระทบ แต่ประเทศไหนจะเสียหายมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับกึ๋นของรัฐบาลประเทศนั้นล้วนๆ)

และทำให้มีการประเมินจีดีพีของปีนี้ว่า อย่างดีที่สุดคือติดลบประมาณร้อยละ 5

ถามว่าด้วยตัวเลขติดลบร้อยละ 5 โอกาสที่ตัวเลขคนยากจนของประเทศไทยจะพุ่งจาก 6.7 ล้านคนไปแตะที่เฉียดๆ 10 ล้านคน ก็ไม่น่าจะเกินกว่าจินตนาการนัก

จากนั้นได้โปรดจินตนาการกันต่อเถอะว่า ถ้าเราอยู่ในประเทศไทยที่คนประมาณสิบล้านคน จากจำนวนประชากรเจ็ดสิบล้านคน มีรายได้ไม่ถึง 2,700 บาท – ประเทศนั้นจะมีอนาคตไหม?

และถ้าเด็ก เยาวชน คนหนุ่มสาวของเราร้อยละ 30 ไม่ได้เรียนหนังสือจนจบการศึกษาภาคบังคับ สิ่งที่จะเกิดขึ้นเป็นวงจรอุบาทว์ต่อไปก็คือ จำนวนคนยากจนก็จะยิ่งทับเท่าทวีคูณ – ถามต่อไปว่า ประเทศแบบนี้จะมีอนาคตไหม?

ตอบได้ง่ายมากว่า ถ้าเราปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามยถากรรมเช่นนี้ ประเทศไทย สังคมไทย รวมทั้งตัวเราเองที่เป็นคนไทยก็คงไม่มีอนาคต

ครั้งหนึ่งที่เราอาจคิดว่าเราเป็นคนชั้นกลาง เรามีการศึกษาในระดับหนึ่ง อยู่ในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำ ภายใต้รัฐบาลที่ไม่ได้เป็นตัวแทนหรือเป็นปากเป็นเสียงให้กับประชาชน เราก็ไม่เดือดร้อน มิหนำซ้ำยังรู้สึกว่า ภายใต้รัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตยนี่แหละ ที่จะอำนวยให้คนชั้นกลางอย่างเราได้เป็น “อภิสิทธิ์ชน”

เพราะถ้าเราได้รัฐบาลที่ใส่ใจกับรากหญ้า ทำให้คนรากหญ้ามีความสุข มีเงินมีทอง ลูกเต้าเขาได้เรียนหนังสือ ได้กินได้อยู่คล้ายๆ กับเรา คนชั้นกลางอย่างเราก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองพิเศษแล้วสิ

ดังนั้น อยู่กับรัฐบาลที่ไม่แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ อยู่กับรัฐบาลที่ไม่สนใจการสร้างรัฐสวัสดิการ นี่แหละดีแล้ว

มันทำให้ชนชั้นกลางอย่างเรารู้สึกว่าตัวเองพิเศษ รู้สึกว่าตัวเองรวยและไฮโซดี เมื่อเทียบกับคนอีกครึ่งประเทศที่มอมแมม

คนชั้นกลางจึงตั้งตัวเป็นศัตรูกับรัฐบาลที่เข้าไปจัดการกับปัญหาความยากจนในเชิงโครงสร้าง เช่น รัฐบาลทักษิณที่ทำโครงการบัตรทองสำเร็จ ทำกองทุนหมู่บ้านสำเร็จ ทำโอท็อปสำเร็จ โดยคิดโง่ๆ ว่า ประชานิยมมันเลวร้าย เป็นเรื่องของการซื้อเสียงผ่านนโยบายหวังกินรวบอำนาจ ชนะการเลือกตั้งต่อเนื่อง

โอ๊ย เลวเหลือเกิน

คนชั้นกลางผู้เป็น ignorance ทางการเมืองเหล่านี้จึงดาหน้ากันไปเป็นสลิ่ม อันมีความหมายว่าผู้ชื่นชอบ เชิดชูการรัฐประหารและการนำพาประเทศออกจากการปกครองระบอบประชาธิปไตย ชื่นชอบเชิดชูชนชั้นนำ เจ้าสัว ไฮโซ นิยมมีพฤติกรรมเลียนแบบดาราที่ตนเองชื่นชอบ

ส่วนดาราที่ตัวเองชื่นชอบก็มีพฤติกรรมเลียนแบบคนชั้นสูง เพราะเข้าใจผิดคิดว่าตัวเป็นชั้นสูง หารู้ตัวไม่ว่าไพร่ครือกันทั้งสิ้นทั้งปวง

คนชั้นกลางผู้เป็น ignorance ทางการเมืองเหล่านี้คิดว่าการเป็นศัตรูกับ “รากหญ้า” ที่มีไอดอลเป็นทักษิณ ชินวัตร คืออัตลักษณ์ที่ทำให้ตัวเองได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นสูง เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นคนดี มีรสนิยม มองการณ์ไกล

คนชั้นกลางผู้เป็น ignorance ทางการเมือง คิดไม่ถึงว่า วันหนึ่งภัยทางเศรษฐกิจอาจมาเคาะประตูบ้านตัวเองได้ เพราะชนชั้นกลางผู้เป็น ignorance ทางการเมืองไม่เคยสำเหนียกว่า การเป็นคนไทยที่มีรายได้หลักแสน มีเงินเก็บสักห้าล้านสิบล้านบาท ไม่ใช่หลักประกันความมั่นคงของชีวิต เมื่อเทียบกับการมีรายได้น้อยกว่านี้ แต่อยู่ภายใต้รัฐบาลที่เน้นการสร้างสวัสดิการ และโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นหลักประกันการมีคุณภาพชีวิตที่ดีโดยภาพรวม

คนชั้นกลางผู้เป็น ignorance ทางการเมืองของไทย คิดว่าการที่ตัวเองมีเงินฝากสัก 10 ล้านบาท มีบ้าน มีรถ มีเงินลงทุนในตลาดหุ้นไปเรื่อยๆ สำคัญกว่าการสนับสนุนให้รัฐบาลสร้างสวัสดิการ เรื่องการเรียนฟรีตลอดชีวิต การมี public housing การมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การเก็บภาษีที่ดิน ภาษีมรดก การมีถนนที่ปลอดภัย การมีระบบขนส่งมวลชนที่ดี การมีระบบการศึกษาสาธารณะฟรีผ่านการมีมิวเซียม หอศิลป์ โรงละคร โรงคอนเสิร์ต ห้องสมุดประชาชน สวนสาธารณะ ฯลฯ

ลึกๆ แล้วคนชั้นกลางที่ ignorance ทางการเมือง ชอบที่ตัวเองมีรถแพงๆ ท่ามกลางคนจนที่ต้องขึ้นรถเมล์เหม็นๆ ชอบที่จะได้เห็นตัวเองนั่งในรถแพงๆ ท่ามกลางคนเดินตากแดดร้อนบนทางเท้าห่วยๆ เพราะมันทำให้รถแพงๆ ของตัวเองดูมีค่ามีราคา ทำให้ตัวเองรู้สึกประสบความสำเร็จ ร่ำรวยดี

แต่คนชั้นกลางผู้มีความขลาดเขลาทางการเมืองเป็นเจ้าเรือน คงคิดไม่ถึงว่า วันหนึ่งจะมีปรากฏการณ์ของโรคระบาดที่เป็นโรคอุบัติใหม่ และชนชั้นกลางเหล่านี้ก็คงคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะกลายเป็นผู้ประสบภัยจากมาตรการรับมือกับโรคอุบัติใหม่ของรัฐบาลห่วยแตกที่ตัวเองคัดสรรมาเองกับมือ

ที่รัฐบาล “ห่วยแตก” ไม่ใช่เพราะรัฐบาลโง่ หรือรัฐบาลไม่เก่ง

แต่ชนชั้นกลางผู้มีความเขลาทางการเมืองเป็นเจ้าเรือน ไม่เคยสำเหนียกว่า หากคุณอยู่ภายใต้รัฐบาลที่ไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชน เขาย่อมไม่ได้มาทำงานเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน แต่มาทำงานเพื่อ “คนอื่น” ที่เป็นพวกเขาเป็นตัวแทน

เขียนเอาไว้ข้างเตียงนะ คนชั้นกลางผู้ขลาดเขลาว่า “เขาเป็นตัวแทนของคนอื่นที่ไม่ใช่คุณและไม่ใช่ประชาชน” ดังนั้น ภารกิจของเขาจึงไม่ใช่เรื่องของคนอื่น ไม่ใช่เรื่องของเรา

การไม่มีมาตรการกักกันโรคเสียตั้งแต่ตอนที่ยังไม่พบโรคนี้ในประเทศตั้งแต่แรก

และตามมาด้วยมาตรการปิดเมืองแบบเหวี่ยงแห ตามมาด้วยการประกาศภาวะฉุกเฉิน

ตามมาด้วยการประกาศเคอร์ฟิว ก่อนที่การบริหารโรคระบาดที่ต้องบริหารทุกมิติ ทั้งสังคม เศรษฐกิจ สุขภาพ การเมืองที่สิทธิ เสรีภาพประชาชนต้องสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ถูกบิดเบือน

ลดทอนความซับซ้อนไปเป็นประเด็นเอาชนะโควิด วัดผลสำเร็จกันที่ให้ตัวเลขคนติดเชื้อเหลือศูนย์ อย่างอื่นพังช่างมัน แต่กูจะเอาถ้วยทองที่ตัวเองเป็นศูนย์

จากการบริหารโรคระบาดที่ต้องละเอียดลออ ต้อง sensitive กับคำว่าคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยภาพรวม ถูกลดทอนให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่มีโควิดเป็นศูนย์กลางจักรวาล มีหมอโฆษกเป็นเทพรักษ์ของคนไทยทั้งปวง

เมื่อทุกอย่างเดินทางในเส้นทางนี้ สิ่งที่พังพินาศคือเศรษฐกิจไง แล้วความพังพินาศทางเศรษฐกิจครั้งนี้ มันไม่เหมือนน้ำท่วมภาคอีสาน ภัยแล้ง ราคายางตกต่ำ ข้าวเปลือกถูก ข้าวสารแพง ภัยหนาว

ไม่เหมือนแม้กระทั่งพิษภัยของ pm 2.5 ที่เพียงคุณมีเครื่องฟอกอากาศ บ้านติดแอร์ คุณก็ไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรนัก

แต่การปิดเมือง ปิดร้านอาหาร ปิดห้าง การประกาศยุติกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายต่อหลายอย่างครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อชนชั้นกลางโดยตรง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชั้นกลางที่เป็นเจ้าของธุรกิจ เช่น ร้านอาหาร ร้านเสริมสวย ร้านนวด ธุรกิจแฟรนไชส์หลายประเภท ได้รับผลกระทบตรงๆ

เจ้าของธุรกิจที่ไม่ใช่ “สลิ่ม” คงเจ็บปวดมาก เพราะรู้อยู่แก่ใจมาโดยตลอดว่า รัฐบาลที่ไม่ได้มาจากประชาชนมันจะสร้างวิบากกรมให้ตัวเองได้ขนาดไหน

แต่ชนชั้นกลาง “สลิ่ม” ป่านนี้จะอธิบายให้ตัวเองฟังอย่างไร ฉันยังนึกไม่ออก ว่ารัฐบาล “คนดี” ที่ตัวเองโหยหา และความลำพองใจว่าฉันคือเศรษฐีเงินล้าน แต่ตอนนี้จากมาตรการของรัฐในการรับมือกับโควิดกำลังจะทำให้เศรษฐีเงินล้าน หัวหมุนติ้วๆๆๆๆๆๆๆ กับธุรกิจที่เงินสดไม่สะพัดติดต่อกันมากว่าสามเดือน

ไหนจะเงินเดือนลูกน้อง ไหนจะบ้าน ไหนจะรถ ไหนจะค่าเทอมโรงเรียนนานาชาติของลูก

อ้าว เปิดเมืองเฟสสามแล้ว นึกว่าจะดีขึ้น การณ์กลับกลายเป็นแย่กว่าเดิม จากสารพัดมาตรการที่รัฐออกมา ไม่ว่าจะเป็นระยะห่างในการนั่งในร้านอาหาร

มาตรการแปลกๆ เช่น การสวมหน้ากากอนามัยขณะอยู่ในฟิตเนส การจะเข้าจะออกร้าน จะเข้าจะออกห้าง ที่แสนจะยุ่งยาก อ้าว เคอร์ฟิวก็ยังไม่ยกเลิก จะทำอะไร จะไปไหน ก็ห่วงหน้าพะวงหลังว่าจะกลับบ้านทันไหม รถจะติดหรือเปล่า ฝนจะตก ถนนน้ำจะท่วม ต้องเผื่อเวลาอีก

ในช่วงปิดเมืองร้อยเปอร์เซ็นต์ ยังมีมาตรการช่วยเหลือแบบยกเว้นค่าเช่า พนักงานได้เงินจากประกันสังคม (บ้าง) มีเงินห้าพันบาท ตู๊ๆ ซื้อเวลาเอาไว้ว่าง แต่เปิดเมืองปุ๊บ มาตรการ “เยียวยา” ที่ตู๊ๆ เอาไว้นี้ก็จะหมดลง แต่ขณะเดียวกันการทำมาค้าขายกลับมาอย่างมากก็แค่ 20%

นักธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดย่อม นักธุรกิจรุ่นใหม่ คนเก๋ๆ ที่เช่าร้านเดือนละแสน สองแสน สามแสน เปิดร้านกาแฟ ร้านอาหาร ไม่เจ๊กอั้กกันวันนี้ จะไปเจ๊กอั้กกันวันไหน?

จากชีวิตเก๋ๆ สวยๆ ใช้ของแบรนด์เนม ซื้อบ้านในหมู่บ้านจัดสรรที่มอบ “ความเป็นคนพิเศษ” ให้กับคุณและครอบครัว หลังละสามสิบล้าน สี่สิบล้าน มั่นใจสวยๆ ว่าผ่อนได้ รถยุโรปคนละคันสองคัน เที่ยวญี่ปุ่น ยุโรป ปีนเขา เล่นสกีปีละครั้ง เหล่านี้หายวับไปกับตา

คนจนที่สุด 6.7 ล้านคนปีนี้อาจจะเพิ่มแตะสิบล้านคนในปีหน้า

ในขณะที่ “คนชั้นกลาง” กับสินทรัพย์ระดับสิบล้านของพวกเขาครึ่งหนึ่งกำลังจะกลายเป็นฟองสบู่รอวันแตกสลายไปกับอากาศและกาลเวลา

ท่ามกลางการแตกสลายของฟองสบู่ “ชนชั้นกลาง” ถามว่า 10 ปีที่ผ่านมา ถ้าเพียงเพราะชนชั้นกลางของไทยไม่มีความขลาดเขลาทางการเมืองเป็นเจ้าเรือน ไม่เชื้อเชิญการรัฐประหารมาถึงสองครั้งสองคราในเวลาไล่เลี่ยกัน อย่างน้อยๆ ประเทศไทยจะมีเซฟตี้เน็ตที่เป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษา ที่จะทำให้เราเข้าสู่การศึกษาออนไลน์ และการศึกษาทางเลือกได้ดีกว่านี้

ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าของเราจะเข้มแข็งขึ้นอีกสักเท่าไหร่ หากระบบนี้ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีอุปสรรคขัดแข้งขัดขาจากรัฐบาลที่ไม่เห็นหัวประชาชน

ระบบประกันสังคมของเราจะเติบโตต่อเนื่องภายใต้วิสัยทัศน์ของรัฐบาลที่รู้ว่า นี่ไม่ได้เป็นแค่ระบบประกันสังคมของพลเมืองที่เป็นปัจเจกบุคคล แต่หมายถึงเซฟตี้เน็ตทางเศรษฐกิจของประเทศที่ใหญ่โตมาก

มันคงไม่เลวร้ายเท่าไหร่หรอก ถ้าเราเจอโควิด-19 ในขณะที่โครงการไทยแลนด์ 2020 ของเราเสร็จพอดี

มันคงไม่เลวร้ายเท่าไหร่ ถ้าเราเจอโควิด-19 ในขณะที่เด็กประถมของเราได้รับแจกแท็บเล็ตและเรียนผ่านแท็บเล็ตมาตั้งแต่ปีที่คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ และทำโครงการนี้ออกมา

พร้อมโครงการอินเตอร์เน็ตฟรีและเป็นโครงสร้างพื้นฐานภาคบังคับที่รัฐต้องจัดหาให้ประชาชน เหมือนน้ำ เหมือนไฟฟ้า

มันคงไม่เลวร้ายเท่าไหร่หรอก ถ้าเราเจอโควิดในยามที่เศรษฐกิจชนบทเข้มแข็ง โอท็อปไปได้ เงินกองทุนหมู่บ้านแข็งแกร่ง นโยบายจำนำข้าวยังอยู่ รากหญ้าไม่ถูกทำให้กลายเป็นผู้ถือบัตรคนจน

โลงศพวางอยู่ตรงหน้า ไกลออกไปไม่กี่ก้าว และใช้เวลาอีกไม่กี่โมงยามในการเดินทางไปถึง วันนี้ภาพฝันของชนชั้นกลางที่ลำพองขนมาโดยตลอดว่า ยิ่งสังคมเหลื่อมล้ำ ความรวยของฉันยิ่งโดดเด้ง ได้แตกสลายลงไปมากแล้ว และจินตนาการว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นนำได้เพียงสมาทานอุดมการณ์เดียวกับพวกเขาก็เป็นเรื่องฝันกลางวัน

เพราะตอนนี้คนรวยร้อยละ 0.01 ของประเทศผู้ไม่เคยได้รับผลกระทบอะไรเลยจากทุกวิกฤต เขาไม่ได้อินังขังขอบอะไรกับคุณเลย

คำถามมีแค่ว่า จะคิดได้หรือไม่ได้ว่า ประชาธิปไตย การเลือกตั้ง และการสร้างสังคมที่ปลอดการรัฐประหารมันสำคัญแค่ไหน?

จะเลิกเป็นม้าใช้ในชนชั้นนำหลอกกันได้แล้วหรือยัง – ชนชั้นกลางผู้มีความเขลาทางการเมืองเป็นเจ้าเรือนทั้งหลาย

อ้อ หมอเขาออกมาบอกให้กลัวตายจากการระบาดระลอกสอง ก็อย่าลืมเชื่อตามเขาด้วยล่ะ


พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่