การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ฉันอยู่ที่ไหน

“อีพี่! มึงอยากอยู่ญี่ปุ่นหรือไต้หวัน!”

คำพูดของพี่โฟก้องอยู่ในหัว เหมือนอะไรสักอย่างที่กระเด็นกลับไปกลับมาระหว่างกำแพง หัวสมองอ่องออของฉันกำลังกลายเป็นลูกก้อนกลมๆ แก่นใหญ่ ซึ่งถ้าเจาะเข้าไปข้างใน คงมีแต่น้ำเลือดน้ำหนองกองเป็นขี้เหยื้อ กับเศษซากคำพูดที่กลิ้งไปกลิ้งมา

บางเวลา มันก็กระดอนขึ้นกระทบกระแทก จนรู้สึกแปลบๆ ลงมาถึงหัวอกหัวใจ

ทำไมฉันจะไม่รู้ว่า ความหมายในถ้อยคำเหล่านั้น คือการเร่งให้ทำตัวมีประโยชน์เสีย

ประโยชน์ของตัวฉันคืออะไร สมองอ่องออล้วนแต่ไม่มีความหมาย แม้แต่ร่างกายของฉันด้วย

สิ่งที่พอจะขายได้ ก็คือนมคือ_ สิ่งเหล่านี้ ที่มีผู้ชายจำนวนมากพร้อมจะจ่ายเงิน

 

ฉันมีทางออกอะไรบ้าง…ถามตัวเองซ้ำซ้ำ ขณะลุกขึ้นไปยืนข้างหน้าต่าง ฝั่งฟ้าทิศตะวันตกมีดาวสุกสว่างหนึ่งดวง พ่อแม่เคยบอกว่านั่นคือดาวศุกร์…นั่นน่ะหรือดาวศุกร์ พ้องเสียงกับคำว่า “สุข” ฟังเหมือนเวลามองดูมันเราควรจะมีความสุข

แต่เหตุไฉน ไม่ว่าจะเห็นเดือนดาวยามใด จะแจ้งจะมืด จนเหลือเพียงเดือนเสี้ยวเว้าแหว่ง ชีวิตห่าเหวนี้ก็ไม่เคยพ้นความหม่นแล้งได้สักที

 

[คนเดินทาง

ใจคอเธอจะไม่ตอบจดหมายฉันจริงๆ เลยใช่มั้ย แต่เอาเถอะ ฉันจะเขียนถึงเธอเรื่อยๆ ละกัน เพราะว่า วันหนึ่ง ถ้าเธอกลับบ้าน จะได้พบจดหมายของฉันรออยู่

นี่ๆ วันนี้ ฉันมีเรื่องใหม่จะเล่าให้เธอฟัง ฉันกำลังจะเข้ากรุงเทพฯ ละ มีงานพบปะกับกลุ่มเพื่อนฝัน แล้วฉันก็ลองชวน “พี่โย” มางานนี้ด้วย แต่ไม่รู้ว่าเขาจะมาหรือเปล่า…อาจไม่มาหรอกมั้ง

อ้อ! ฉันจะได้เจอ “เอ” ด้วยนะ เธอคงเคยอ่านผลงานของเอ ที่เขาใช้ชื่อว่า “ดาวศรัทธาแห่งราชบุรี” บรรยากาศเป็นยังไง ฉันจะเล่าให้เธอฟังอีกทีนะคะ…]

 

บุรุษไปรษณีย์นำเอาจดหมายมาส่ง ยังคงมีจดหมายมาสม่ำเสมอ เหมือนจะบ่อยขึ้นด้วยซ้ำไป ทั้งที่ฉันได้แต่เพียงรับมา เปิดอ่าน แล้วก็วางทับกันไว้

ในยามค่ำคืน ฉันมักตื่นอยู่ลำพังยามทุกคนในบ้านหลับใหล

ตกกลางวัน นอกเหนือจากชีวิตที่ต้องอยู่ร่วมกัน ก็ฟังพี่โฟบ่นเรื่องเก่าซ้ำซ้ำทุกวัน จนกระทั่งฉันเองค่อยๆ รู้ว่า

ตัวพี่โฟเองก็ใช่จะมีทางไป ที่พูดเรื่องคนจีนคนไต้หวัน แท้ใช่ว่าจะหาได้

เอาเข้าจริงๆ ก็คงแค่สิ่งปลอบใจตัวเอง ว่ายังมีความเก่งความหล็วกในตัว ยังเอาตัวรอดได้มากกว่าฉัน

 

[คนเดินทางคะ

วันนี้ฉันกลับจากกรุงเทพฯ แล้วละ…เกือบเหนื่อยแน่ะ แต่ก็ยังมีแรงเขียนจดหมายถึงเธอ

…อยากฟังเรื่องราวมั้ย ฉันจะเล่าให้ฟังนะ

ตอนวันนัด ฉันไปถึงเกือบเป็นคนสุดท้าย แต่ก็ยังมีคนมาช้ากว่าฉัน

ไม่รู้ว่า เธอจำ “มะนอย-ใยฝัน” ได้มั้ย คนที่เขียนกลอนหวานๆ ขี้เหงาๆ ที่เรายังเคยคุยกันว่า มีคนเหงากว่าเราสองคนแล้วนะ!

นั่นละ เด็กคนนั้นมาด้วย แล้วมากับใครรู้มั้ย…มากับพี่โย…]

 

[“สวัสดี”

ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาหาฉัน เกือบจะใจเต้น….พี่โย…หรือฉันอาจจะใจเต้นแล้วจริงๆ ก็ได้ จนเกือบลืมไปว่ากำลังจะจับมือทักทายกับเด็กผมเปีย

“…นึกว่าพี่โยจะไม่มาเสียแล้ว”

ฉันพูดออกไปเบาๆ

“มาซี” เขาตอบ “แต่นี่ก็มาได้แป๊บเดียว เดี๋ยวต้องรีบกลับ”

ฉันเห็นตาคู่นั้นชัดขึ้น เป็นลูกตาสีน้ำตาลเข้ม พอจ้องเข้าไป ทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ มันเหมือน…เหมือนเราได้พบคนที่เคยพลัดหาย

เหมือนไม่ใช่คนที่เพิ่งเห็นหน้ากันวันนี้

“แน่ะ! พี่น่ะเองที่พี่โยนัดไว้!…โลกกลมจัง!”

ยายเด็กผมเปียแทรกขึ้น

ฉันรู้สึกตัวขึ้นมาในตอนนั้นเอง พร้อมกับวูบหนึ่งของความคิด — มีภาพของคนที่ห่างไกลแว่บเข้ามา แต่คนคนนั้นอยู่ห่างจากฉันเหลือเกิน อีกทั้งยังใจร้ายกับฉันมาก

ทั้งๆ ที่ฉันพยายามจะวิงวอนร้องขอ แต่ก็ไม่เคยได้รับความไยดี

…ต่างกับคนที่อยู่ตรงหน้า สายตาที่มองฉัน เต็มไปด้วยความอาทรมากมาย

ทั้งๆ ที่…เราเพิ่งเจอกันแท้ๆ

“เพิ่งรู้ว่าพี่โยกับนอยก็รู้จักกัน” ฉันพูดแก้เก้อขึ้น เมื่อร่างสูงโปร่งยังคงยืนนิ่ง ยิ้มจางๆ ในหน้า

“ก็เพิ่งรู้จักกันวันนี้” เขาบอก “พอดีพ่อแม่ของนอยรู้จักกับพ่อแม่พี่”]

 

มีกระดาษอีกสามแผ่นแนบมาในซองจดหมาย ต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา หัวใจฉันกระตุกวูบ เมื่อพบว่า เป็นคล้ายๆ บทละครหรือเรื่องสั้น-นิยาย…

เพียงบัวเขียนเรื่องแต่ง หรือเป็นการบันทึกความทรงจำเอาไว้? มันช่างละเอียดสิ้นดี จนแทบจะเห็นภาพคนที่ผุดขึ้นตรงหน้าวันนั้น…วันที่ฉันยังคงอยู่ห่างไกล

เป็นคนไกล…ซึ่งในเรื่องนั้น อาจหมายถึงฉัน?

 

[แต่พูดกันยังไม่ทันถึงไหน “เอ” ก็เดินเข้ามาหา

เอคือตัวตั้งตัวตีที่จะจัดงานพบปะกันวันนี้ เป็นคนออกความคิดให้พวกเรามีเส้นเชือกสีขาวผูกข้อมือกันไว้ทุกคน…ให้หากันเจอง่ายๆ และรู้ได้ว่าคนไหน คือพวกเราชาวเพื่อนฝัน

เอเขม้นมองพี่โย…อาจเพราะคนถือวิสาสะชวนพี่โยมาคือฉัน…ก็อดแอบคิดไม่ได้นะว่า เขาจะมาจริงๆ รึ แต่เขาก็มา…

“พี่โยคะ…นี่เอค่ะ เป็นเพื่อนเหมือนกัน”

ฉันรีบแนะนำให้สองคนรู้จักกัน

“ที่เขียนกลอนลงคอลัมน์พี่ใบพลูบ่อยๆ นามปากกาว่า “ดาวศรัทธา” ไงคะ ส่วนนี่…พี่โยกับนอยค่ะ นอยก็เขียนกลอนเหมือนกัน นามปากกาใยฝัน ส่วนพี่โย…”

ฉันเห็นเขาตั้งใจฟังมาก

“…พี่โยได้แต่เขียนเก็บไว้ไม่ยอมส่งแบ่งให้คนอื่นอ่าน”

เขาเหลียวมองมะนอยอย่างแปลกใจ แต่ก็มีความชื่นชมในสายตา เอรีบยกมือรับไหว้มะนอย แล้วยื่นมือไปเช็กแฮนด์กับเขา

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ วันนี้นับว่าเป็นนิมิตหมายอันดีทีเดียวที่เราได้มาพบกัน และจะได้ร่วมฝัน ก้าวไปด้วยกันข้างหน้า”

ฉันนึกแล้วว่าเขาจะต้องนึกขัน…เอชอบพูดจาหยั่งกะการไฮด์ปาร์ก! ฉันก็อดแอบยิ้มไม่ได้ แล้วก็รู้สึกสนิทกับเขามากขึ้น…]

 

ฉันรู้สึกอย่างไรบ้าง เมื่ออ่านนิยายจากชีวิตจริงของเธอ…เพียงบัว ใช่แน่นอน เธอคงเขียนมันจากเหตุการณ์จริง

[เดี๋ยวพี่ต้องกลับแล้วละ”

เขาพูดกับเด็กผมเปีย พลางเหลือบตามาทางฉัน

“พี่โยมีธุระหรือคะ”

ฉันเอ่ยถามขึ้น

“พ่อพี่อยากให้กลับไปทานข้าวที่บ้าน”

…ฉันได้แต่นิ่ง เพราะมันเป็นสิ่งที่ต่างจากชีวิตของฉัน…จนเขากำลังจะออกไปแล้ว ฉันเพิ่งนึกได้

“เดี๋ยวค่ะ…เรามีของมาฝากพี่โยด้วย”

เขาหยุดชะงัก

“ให้เอาไปเปิดที่บ้านนะ”

“อะไรหรือครับ?” เขาขมวดคิ้วเล็กๆ ขณะถาม

“คำสัญญาของเรา” ฉันตอบออกไป

“ขอบคุณครับ”

รอยยิ้มนั้นสดใส ทั้งๆ ที่ใจฉันกำลังอ่อนแอลงทุกที อีกไม่ช้า ทุกคนก็จะแยกย้ายจากกันไป

…แล้วฉันก็ได้แต่มองตามแผ่นหลังของเขา ที่ห่างออกไป]

 

ฉันก้มดูจดหมายในมือ เหมือนของแปลกประหลาด ตัวหนังสือเหล่านั้นก็ช่างประหลาดสิ้นดี อะไรกันหรือ ทำให้คนหนึ่งคน เขียนถึงคนอีกหลายคน…ไม่ใช่สิ เขียนถึงคนอีกคน เพื่อส่งมาให้อีกคนหนึ่งอ่าน

เพียงบัวถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดได้อย่างชัดเจน เรียบง่าย จนแม้จะอยู่กันคนละฝั่งฟ้า ฉันก็รู้ว่า มันคงมี “สายใย” ที่ถักทอขึ้นทุกวัน…ทุกเวลา…ทุกที…กับคนคนนั้น

ตัวฉันเล่า ตัวฉันกำลังอยู่ที่ไหน ในท่ามกลางความเวิ้งว้างของฟากฟ้าอาภากาศ ในยามกลางวันที่แดดเต้นจนเห็นระยิบเป็นตัว หรือกลางคืนที่ตื่นมาจ้องมองดูดาวอย่างคนโง่ๆ หลายคืนหลายวัน ผ่านไปด้วยการฟังคำบ่นด่าของผู้คนรอบตัว

ฉันอยู่ที่ไหน…คงอยู่แค่ในซอกมุมสลัวของตัวฉันเอง…ใช่ไหม?