คำ ผกา | ไล่ก็ไม่ไป

คำ ผกา

สภาพที่เกิดกับประเทศไทยตอนนี้ทำให้ฉันนึกถึงคำว่า “ดินพอกหางหมู” ตอนเป็นเด็ก ครูมักจะสั่งสอนเราเสมอว่า มีการบ้าน มีงานที่ต้องทำส่งให้รีบทำ ให้ทยอยส่ง อย่าสะสมไว้เป็นดินพอกหางหมู

พอกไว้นานวันเข้าก็หนาและหนักขึ้นเรื่อยๆ กว่าจะสะสางดินออกจากหางได้ก็ใช้เวลานาน ยุ่งยาก เปลืองแรงกายแรงใจ เปลืองเวลาไปโดยไม่จำเป็น

ประเทศไทยที่สิทธิทางการเมืองของประชาชนถูกปล้นไปด้วยการรัฐประหารทำให้เราได้รัฐบาลสถาปนาที่ประชาชนไม่ได้เลือก

และอย่างที่เขียนไว้ในคอลัมน์นี้อยู่เสมอคือ รัฐบาลที่ไม่ได้มาตามครรลองประชาธิปไตย ไม่ได้มีเป้าหมายในการทำงาน หรือบริหารประเทศเพื่อความผาสุกของประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจ

แต่พวกเขาเข้ามาเป็นรัฐบาลเพื่อบริหารอำนาจให้ตนเองและพวกพ้องได้อยู่ในอำนาจไปตราบนานเท่านาน

ถามว่า แล้วจะอยู่ในอำนาจไปนานๆ ทำไม ก็เพราะพวกเขาจะได้ใช้อำนาจทางการเมืองที่มีอยู่นั้นไปเพื่อการแสวงหาผลประโยชน์ โภคทรัพย์ ความมั่งคั่งให้ตัวเองและบริวารสืบไป

ไม่เพียงแต่เพื่อความมั่งคั่งของตนเอง ครอบครัว ลูกหลาน บริวาร การอยู่ในอำนาจไปนานๆ ย่อมมีต้นทุน หรือพูดอีกอย่างว่า การ “ปล้น” อำนาจประชาชนไปต่อเนื่องยาวนานมันก็มีต้นทุนที่ต้องจ่าย เช่น ค่ากล้วย ค่าดูแลเครือข่ายที่ค้ำจุนอำนาจ หรือเครือข่ายร่วมปล้นทั้งหลาย ยิ่งรายจ่ายตรงนี้มากเท่าไหร่

เพราะฉะนั้น ยิ่งจ่ายมากก็ยิ่งต้องหาให้ได้มาก

อำนาจการเมืองที่มีอยู่จึงมีเพื่อรีดนาทาเร้นประชาชนเพื่อให้ตัวเองได้เสวยสุขไปวันๆ

สถานะของคนไทยในทุกวันนี้จึงน่าอเนจอนาถยิ่ง ไหนจะต้องมาเสียภาษีให้รัฐ ไหนจะถูกรัฐใช้เป็นข้ออ้างว่าเราคือที่มาแห่งอำนาจของพวกเขา

ขณะเดียวกันรัฐก็ปฏิบัติต่อประชาชนราวกับไพร่ ทาส อีกนิดเดียวก็คล้ายสัตว์เลี้ยงที่รัฐอ้างว่าฉันอุตส่าห์เมตตาดูแลพวกเธอ อนาถไม่อนาถเพราะทุกวันนี้เหมือนเราเสียภาษีจ่ายเป็นเงินเดือนให้คนมาเหยียบหัวเราเล่น มาทำให้เราจนลง มาทำให้เราอ่อนแอลง

เหมือนเราจ่ายภาษีเป็นเงินเดือนให้พวกเขาไปตั้งแก๊งมาปล้นเราไปอีกที

เราจ่ายภาษีเป็นเงินเดือนให้ เหมือนถูกปล้นมาอย่างน้อย 7 ปีต่อเนื่อง

จึงเท่ากับว่าใน 7 ปีที่ผ่านมาเราเหมือนอยู่คอนโดฯ ที่เราจ่ายค่าส่วนกลางไปทุกๆ ปี แต่นิติบุคคลกลับนำเงินค่าส่วนกลางนั้นไปซื้อรถให้ตัวเองและลูก-เมียขับ แทนที่จะนำมาซ่อมแซม ดูแลคอนโดฯ ที่เราอยู่อาศัย

นานวันเข้าปัญหามันก็หมักหมม สาหัสขึ้นเรื่อยๆ จากไฟดับบางดวงก็กลายเป็นไฟครึ่งโครงการดับสนิท สายไฟโดนหนูแทะ ท่อตัน สระว่ายน้ำมีแต่ใบไม้เน่าลอยฟูฟ่อง เต็มไปด้วยคราบสกปรกหมักหมมไปทุกหนทุกแห่ง ไม่มียามรักษาความปลอดภัย

คนในคอนโดฯ เริ่มจี้ปล้นกันเอง ยามที่ควรจะดูแลความปลอดภัยก็กลับใช้ประโยชน์จากที่ตัวเองเข้านอกออกในได้มาลักขโมยทรัพย์สินของผู้อยู่อาศัย

สภาพประเทศไทยเป็นแบบนี้

7ปีที่ผ่านมา ไม่มีการบริหารงานใดๆ โดยรัฐที่เป็นการบริหารประเทศให้ดีขึ้น ตรงกันข้าม ปัญหาเก่าๆ ก็ไม่ได้รับการแก้ไข ปัญหาใหม่ๆ ก็ถาโถมใส่เข้ามาไม่ยั้ง เมื่อเกิดวิกฤตที่ไม่คาดฝัน เราจึงเหมือนคนร่างกายอ่อนแอ ผอมแห้งแรงน้อย ไม่มีภูมิคุ้มกัน มิหนำซ้ำยังเป็นคนร่างกายอ่อนแอที่ยากจน ไม่มีเงินเก็บ อยู่ในบ้านที่ทรุดโทรม ผุพังในทุกจุด ไม่ต้องถึงขั้นเจอโควิด-19 นาทีนี้ สภาพแบบประเทศไทยแค่เจอไข้หวัดก็คงพร้อมตายได้ทุกเมื่อ

ปัญหาอะไรบ้างที่เป็นดินพอกหางหมูในประเทศไทย?

ปัญหาฝุ่น pm 2.5 เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมายืดเยื้อยาวนานหลายปี

ถ้าเรามีรัฐบาลที่มาจากประชาชน แล้วไม่ทำอะไรจริงจัง เอาแต่ฉีดน้ำ กับประกาศห้ามเผา เอาผู้ใหญ่บ้าน กำนันมาถ่ายรูป จบ แยกย้ายกันกลับบ้าน ป่านนั้นรัฐบาลคงอยู่ไม่ได้

แต่เนื่องจากเราอยู่ภายใต้รัฐบาลที่ชิงอำนาจประชาชนไป เมื่อมีปัญหาฝุ่น พวกเขาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ นักข่าวถามทีก็ทำอะไรแบบไฟไหม้ฟางที แก้ปัญหาเชิงจัดงานอีเวนต์ไปวันๆ

มิหนำซ้ำยังเพิ่มพื้นที่ปลูกอ้อย และพืชไร่ทนแล้งทดแทนการปลูกข้าว ด่าชาวบ้านเรื่องเผาป่า แต่ไม่ยอมคิดต่อว่าทำอย่างไรจะไม่ให้ชาวบ้านเดือดร้อน

คิดเป็นอยู่อย่างเดียวคือ เห็นใครเผาให้ตำรวจไปจับ แต่หาคิดไม่ว่าการไล่จับไม่ช่วยแก้ปัญหาจนกว่าจะมีการมองปัญหาการเผาของชาวบ้านเชิงบูรณาการแล้วลงมือแก้ปัญหาทั้งวงจร ไม่ใช่ไปตัดตอนแก้ที่ปลายเหตุว่าใครเผาก็จับๆๆๆ

เมื่อไม่มีการทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเพื่อแก้ปัญหา ปัญหามันก็สะสมเป็นดินพอกหางหมูไปเป็นปีๆ เผลอแป๊บเดียว 7 ปี และเผลอแป๊บเดียว ช่วงนี้ในภาคเหนือตอนบน ค่าอากาศทะลุสี่ร้อย-ห้าร้อย คนก็ได้แต่ร้องโอดโอยว่าไม่ไหวแล้ว จะตายแล้ว เลือดกำเดาไหลแล้ว ลูกเล็กอยู่ไม่ได้แล้ว คนแก่ป่วยแล้ว

ซึ่งบ่นไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ที่จะมีสตางค์ก็อยู่กับเครื่องฟอกอากาศ แต่หนักเบอร์นี้ เครื่องฟอกอากาศก็ช่วยได้แค่บรรเทา

นี่คือตัวอย่างของปัญหาที่สะสม หมักหมม และจะหนักหนาสาหัสขึ้นเรื่อยๆ

ยิ่งทิ้งไว้ให้เนิ่นช้าก็จะยิ่งแก้ยากขึ้น สุขภาพของคนไทยก็จะอ่อนแอลงเรื่อยๆ คนป่วยมากขึ้น งบฯ สาธารณสุขก็ “ขาด”

และที่ขาดจะได้รับการเติมให้พอไหม?

และสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ การที่คนไทยผู้เสียภาษีก็ต้องมาแบกรับความรู้ผิดแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเจียดรายได้ของตัวเองไปบริจาคให้โรงพยาบาลกันอีก

หรือนายทุนทั้งหลายที่อิ่มหมีพีมันไปกับแก๊งที่ว่า จะเจียดเศษเงินไปบริจาคใหญ่โต แล้วได้หน้าได้ตาว่าเป็นเศรษฐีใจบุญให้สลิ่มที่จนและโง่ เอาไปสรรเสริญเยินยอได้อีก

นอกจากปัญหาฝุ่น pm 2.5 ยังมีปัญหาภัยแล้ง ภัยหนาว ภัยน้ำท่วม ที่ผลของการสะสมปัญหาเหล่านี้และไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบเลยก็คือ ความอ่อนแอของภาคเกษตรไทยทั้งสิ้นทั้งปวง

และนั่นแปลว่า คนไทยในชนบทที่อยู่ภาคการเกษตร ถูกทำให้อ่อนแอลงและยากจนลงอย่างต่อเนื่อง

ปัญหาเศรษฐกิจไม่ต้องพูดถึง 7 ปีที่ผ่านมาเป็นมหากาพย์ของการเพิ่มความร่ำรวยให้เจ้าสัวอย่างที่เราเห็นตัวเลขความเหลื่อมล้ำที่ถ่างกว้างขึ้นในระดับที่ต้องแพนิก (แต่ก็ไม่มีใครแพนิกอยู่ดี)

มองหยาบๆ แบบนี้ เราจะเห็นว่าประเทศไทยถูกทำให้อ่อนแอลงในทุกมิติ

ไม่ใช่อ่อนแอธรรมดา แต่อ่อนแอไปตามลำดับอย่างต่อเนื่อง สะสมความอ่อนแอไปวันต่อวัน ปีต่อปี

เหมือนคนเคยแข็งแรงแล้วถูกฉีดเชื้อโรคเข้าตัว แล้วปล่อยให้ป่วยไป ให้กินข้าว กินน้ำตามยถากรรม กินยากลางบ้านประทังไปเรื่อยๆ อยู่ในสภาพง่อยเปลี้ยเสียขาไปเรื่อยๆ

ถามว่า จะตายไหม ก็ไม่ตาย เขาแค่รักษาสภาพให้เป็นในลักษณะ ไม่ฆ่าให้ตายแต่ก็เลี้ยงไว้ไม่ให้โต เหตุที่ไม่ปล่อยให้ตาย เหตุผลก็ไม่ซับซ้อน เพราะถ้าเราตายกันหมดใครจะไปทำมาหากินเพื่อจ่ายภาษีล่ะ?

และด้วยสภาพที่เราเป็นแบบนี้ พอโควิด-19 มาตูมเดียว ทุกอย่างก็แทบล้มระเนระนาด

รัฐบาลที่ไม่เคยทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มีแต่ปล่อยให้ภาคราชการเดินเครื่องจักร “รัน” ประเทศไปตามรูทีน และพวกคนที่อยู่ในอำนาจสามารถแสวงหาผลประโยชน์จากการ “รัน” เครื่องจักรนี้ไปได้เรื่อยๆ

เมื่อโควิด-19 ระบาด พวกเขาก็คิดว่าทำทุกอย่างได้เหมือนเดิม คือปล่อยให้ราชการทำงานตามรูทีน

แต่รูทีนนี้ต้องไม่กระทบผลประโยชน์ของผู้อยู่ในอำนาจ ไม่กระทบรายได้ของผู้อยู่ในอำนาจ

และหากผู้อยู่ในอำนาจจะใช้อำนาจในการแสวงหาผลประโยชน์จากวิกฤตอันนี้ พวกเขาก็จะทำ ดังที่เราได้อ่านข่าวเกี่ยวกับกระบวนการกักตุนหน้ากากเพื่อส่งออก

จะมานั่งย้อนหลังพูดว่า รัฐควรทำอะไรเพื่อรับมือกับโรคอุบัติใหม่อย่างโควิด-19 ตั้งแต่กลางเดือนมกราคม ที่เรารู้ว่ามีการระบาด ก็คงจะสายเกินไป เพราะเราไม่ได้ทำอะไรเลยที่ควรทำ

ไม่ว่าจะเป็นการงดไฟลต์บินจากจีน การกักตัวคนที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ยกเลิก visa on arrival ของชาวจีน ฯลฯ – เราไม่ทำอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว ทั้งไม่มีการสื่อสารที่ชัดเจน เป็นระบบจากใครเลยในรัฐบาล

จนกระทั่งสองเดือนผ่านไป บิงโก เจอผู้ติดเชื้อกันรัวๆ ในกลุ่มคนที่ไม่ใช่คนจน ไม่ใช่ “ผีน้อย” แต่เป็นดารา ไฮโซ ข้าราชการผู้ใหญ่ อาจารย์มหาวิทยาลัย ชาวไทยที่ไปสังสรรค์ กินดื่มในร้านอาหารย่านหรูหรา

ฉันไม่มีความหวังอะไรกับรัฐบาลในการจัดการเรื่องโรคระบาดโควิด-19 นี้ คิดว่ามันก็เหมือนกับเรื่องอื่นๆ ที่เราคงต้องรับมือกับมันแบบตัวใครตัวมัน ใช้วิจารณญาณของตนเอง คนจน คนที่เปราะบางอยู่แล้วในสังคมก็ต้องเผชิญกับภาวะนี้อย่างโดดเดี่ยวขึ้น เจ็บปวดขึ้น แล้วทั้งหมดที่เหลืออยู่กับเราก็คือความรวดร้าว

ไม่ใช่รวดร้าวเพราะความป่วยไข้ หรือรวดร้าวเพราะตกงานเท่านั้น แต่รวดร้าวกับสภาวะ helplessness ของตัวเอง

รวดร้าวที่เห็นปัญหาอยู่ตรงหน้าทำอะไรไม่ได้

รวดร้าวเพราะเห็นว่าถ้ามีรัฐบาลที่เก่งกว่านี้ เห็นหัวประชาชนมากกว่านี้ เราจะไม่ต้องมีชะตากรรมอย่างนี้

รวดร้าวเพราะไม่อยากอยู่กับรัฐบาลนี้ แต่ก็ทำอะไรก็ไม่ได้ ไล่ก็ไม่ไป

อันนี้ร้าวลึกและเจ็บลึกที่สุด

ถ้าเราจะต้องตายด้วยไวรัส เราก็แค่ตาย แต่สิ่งที่จะตกค้างหลังจากไวรัสจางหายไปตามวงจรของมันคือความป่วยไข้ทางเศรษฐกิจที่จะทำให้คนอีกเกือบครึ่งประเทศต้องเผชิญกับผลพวงของความถดถอยทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของโลก

และมันก็แสนจะรวดร้าวอีกเมื่อเรามานั่งนึกว่า ประเทศไทยต้องมาเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจที่อาจจะใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปีในยามที่เราอยู่ภายใต้รัฐบาลเช่นนี้ ในยามที่เราอยู่ในสภาพเหมือนคนป่วยติดเตียงที่ไม่ได้รับการรักษามายาวนานถึง 7 ปี

มันช่างเหมาะเหม็งอะไรเช่นนี้ที่เราจะต้องมาไร้อำนาจ ป่วย และหมดตัวในเวลาในยามที่ไวรัสตัวใหม่ระบาดและตามมาด้วยวิกฤตเศรษฐกิจที่สาหัสที่สุดครั้งหนึ่งของโลก