การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ดอกมะลิพูดอย่างเป็นเรื่องธรรมดา

“ตัวนอนกั้งแบบนี้ตลอดเลยเหรอ”

ดอกมะลิถาม พลางพ่นน้ำล้างยาสีฟันออกปาก ถ่มถุยลงบนพื้นหญ้าหน้าห้องส้วม ฉันยืนอยู่ใกล้ๆ ใช้มือรองน้ำจากก๊อกมาลูบหน้า และพยายามใช้อุ้งมือประคองน้ำเข้าปาก ยังดีที่ว่ามีอ่างล้างมืออยู่ข้างฝาห้องอาบน้ำ

เป็นห้องอาบที่กรุด้วยสังกะสี แต่ก็มีไม้อัดปิดทับอีกชั้น หากขนาดแผ่นเล็กใหญ่แตกต่างกันไป จึงดูปุปะซอมซ่อ เห็นได้ชัดขึ้นเมื่ออยู่ในแสงสว่าง

กั้ง เป็นคำถิ่น มีความหมายว่า ละเมอ

ไม่รู้จะตอบอย่างไร จึงได้แต่พยักหน้าส่งๆ

“อือ”

“แบบนี้แย่เลย” ดอกมะลิว่า ทำหน้ายิ้มขบขัน “ถ้าแต่งงานไปจะทำไงนี่”

อดสะดุดหูไม่ได้ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าดูปราศจากความนัย ก็ให้นึกขันตามไปด้วย

“อะ ทำไมคิดงั้น”

“ก็คนเขาบอกกัน พี่น้องฉันบอกไว้ตลอด…ขี้กั้งขี้ละเมอ ระวังผัวจะไม่ชอบ”

“หือ” ฉันสะดุดหูซ้ำสอง “…พูดยังกะเตรียมตัวจะเอาผัวแล้ว”

“ก็เตรียมนะ” ดอกมะลิร่างใหญ่กลับตอบมาด้วยเสียงซื่อ “ถ้าเก็บสตางค์ได้พอก็จะแต่งแล้ว”

ฉันเหลียวหน้าไปหาเพื่อนใหม่ มองดูร่างอวบหนาที่ล้างหน้าแปรงฟันอย่างตั้งใจ ดอกมะลิมีเครื่องหน้าสวยไม่ใช่น้อย ถ้าเพียงจะเอวบางร่างน้อยอย่างผู้หญิงคนอื่นๆ เผลอๆ จะได้ทำงานอยู่ถึงหน้าร้านค้า แต่ก็นั่นล่ะ มือไม้ที่หยาบกร้าน ผิวพรรณที่เกลื่อนสิวกับตุ่มหนองตามแขนตามมือ ถ้าไม่โปะแป้งหนา ก็คงยากจะไปสมัครทำงานที่สบายๆ

ฉันได้ประสบการณ์มามากพอที่จะรู้ว่า ถ้าผู้หญิงมีความสวยบอบบาง จะได้รับการดูแลเอาใจใส่ ได้ความนิยมชมชื่น ได้ทำงานสบายขึ้นกว่าคนอัปลักษณ์ขี้เหร่

ตัวฉันล่ะ เป็นคนขี้เหร่ไหม อดเหลือบตาดูตัวเองในกระจกเหนือก๊อกไม่ได้

ใบหน้าที่จ้องกลับมา เผือดซีดอยู่ในแสงแดด มีสิวเริ่มขึ้นข้างแก้ม ปากหนา ตาใหญ่ และแฉกในตาก็พร่างพร่าเหมือนจะชวนให้จ้องกลับเข้าไป

…อีกชั้น และอีกชั้น

“เธอจะแต่งกับใครหรือ” เอ่ยปากถามดอกมะลิ

รอยยิ้มเผยขึ้นทันที มะลิยิ้มกว้างอย่างสดชื่น

“เดี๋ยวจะเอารูปให้ดู ตอนนี้พี่เขาก็ทำงานไม่ไกล อยู่ไซต์งานก่อสร้าง”

 

ดูเหมือนว่า ทุกๆ คนจะมีความฝัน การที่พวกเรามาพบกันที่นี่ ก็น่าจะล้วนแต่คนมีความฝัน เพียงแต่ความฝันที่ตรงกันอย่างแรกก็คือ เราทุกคนล้วนต้องการเงิน

เราอยากได้เงิน เพื่อจะเอาไปแลกสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพื่อให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น ลืมตาอ้าปากได้ มีบ้านสวยๆ ไว้อยู่อาศัย ได้ปลูกบ้านให้พ่อให้แม่ หรือเอาไปเป็นทุน…สิ่งที่จะใช้เงินทำได้ลอยมาในหัวคิดยาวเป็นหางว่าว แต่ก็นั่นล่ะ ฉันเจอมาหลายสิ่งหลายอย่าง จนเริ่มรู้แล้วว่า

ไม่เสมอไปที่เราจะไปได้ถึงฝัน

บางครั้ง การมีชีวิตอยู่กับความฝัน ก็เป็นแค่เรื่องโง่ๆ

จังหวะนั้นเอง หางตาก็เห็นร่างขาวๆ ผมบ๊อบกำลังเดินเข้ามา ดอกมะลิล้างหน้าจะแล้วเสร็จพอดี

 

“เธอไม่แปรงฟันเหรอ” มะลิถาม

ฉันกำลังบ้วนน้ำถ่มออกบ้าง พลางใช้หลังมือเช็ด ส่ายหัวให้แทนคำตอบ

“ยังไม่มีชุดสีฟัน” บอกกับดอกมะลิไปตามตรง ถ้าวันนี้ฉันจะมีกลิ่นปาก ทำได้อย่างมากก็คือต้องหมั่นล้างปากบ่อยๆ

“อ้าว” มะลิเบิกตา “แล้วทำไมไม่ซื้อเล่า”

“ก็เพิ่งมา” ฉันตอบ “จะซื้อวันนี้แหละ”

“เอ๊ะ” มะลิขมวดคิ้วบ้าง “เธอมาจากไหนกันแน่ ไม่มีของใช้ติดตัวมาเลยเหรอ”

“…ไม่มี”

“ทำไมไม่เตรียมมา กว่าจะมาถึงนี่ก็ต้องผ่านร้านขายบ้างล่ะ”

ฉันจะบอกดอกมะลิได้อย่างไรว่า ฉันแค่เดินออกมาจากตึกหลังหนึ่งเท่านั้น ปราศจากข้าวของอื่นใด มีเพียงเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ กับใบแดงอีกจำนวนหนึ่งในกระเป๋ากางเกง

เท่านั้น…ที่ต้องรักษามันไว้ในยามนี้

“พอดีมากะทันหันน่ะ…เดี๋ยวต้องไปหาซื้อผ้าด้วยเหมือนกัน”

“อ๊าว” มะลิขึ้นเสียงสูงกว่าหนแรก “เสื้อผ้าก็ไม่เอามาเลยเหรอ”

ฉันส่ายหน้า

“อะไรกันเธอนี่” มะลิมองฉันอย่างตั้งใจ ลดเสียงลง “เธอหนีอะไรมาหรือเปล่า”

ฉันหลบตา

“ดอกแค” มะลิเรียก ทำเสียงเบาลงอีก “เธอมีคดีติดตัวเหรอ”

“จะบ้าเหรอ!” ฉันนึกขันมะลิไม่ได้ ก็น่าแปลกใจที่ไม่ฉุนโกรธใดๆ กับความคิดนั้น “ไว้จะเล่าให้ฟังทีหลังแล้วกัน”

ร่างขาวผมบ๊อบสั้นเหลียวมา คล้ายจะได้ยินที่พูดกัน ฉันเหลียวจ้องกลับไป ตาคู่นั้นก็เมินไปทางอื่นเสีย

 

แดดมาเต็มที่แล้ว สาดล้วงเข้ามาถึงใต้ชายคา เมื่อชักเชือกม้วนกันสาดขึ้น ก็มองเห็นสภาพของร้านข้าวต้มข้างใน ทุกสิ่งสกปรกมอมแมม ตามซอกมุมมีแต่หยากไย่ ยิ่งเมื่อหมู่คนงานพากันเลื่อนโต๊ะออกจัดตามตำแหน่งเก่า ฝุ่นก็ฟุ้งขึ้นเป็นลำละออง

ฉันได้รับมอบหมายให้ใช้ผ้าขี้ริ้วเช็ดตามโต๊ะเก้าอี้ ทั้งที่ร้านจะเปิดตั้งแต่ห้าโมงเย็นเป็นต้นไป และคนงานได้หลับกันไม่กี่ชั่วโมง แต่สักบ่ายสองโมงก็ต้องเริ่มทำงานกันแล้ว

เราน่าจะตื่นกันสักราวๆ 9 โมง ล้างหน้าล้างตา แต่ใช่ว่าจะอยู่กันสบายๆ ไม่ทันถึงเก้าโมงครึ่งก็มีผู้ชายอีกคนเข้ามาในร้าน ส่งเสียงดัง ออกคำสั่งโน่นนี่นั่น ดอกมะลิว่าเป็นเจ้าของร้านอีกคนหนึ่ง พี่หรือน้องของเมียพ่อครัว

ดูว่าจะเป็นกิจการในครอบครัว พวกเขาแบ่งงานกันภาควันกับภาคคืน ความว่าคนที่มาตอนสายๆ จะเป็นคนไปจ่ายตลาด สั่งวัตถุดิบต่างๆ และสั่งงานดูงานไม่ให้ลูกจ้างอยู่เฉย

ก็คงเฉยได้อยู่หรอก เพราะยังมีของต้องเก็บล้างอีกมากมาย เมื่อปิดร้านในตอนดึกดื่น หรือพูดให้ถูกคือก่อนตะวันจะขึ้น หลายอย่างก็ต้องทิ้งค้างเอาไว้ พวกหม้อไหทัพพี ภาชนะหน้าเตาทั้งหลาย ไหนจะความสกปรกที่ทิ้งไว้ตามพื้นตามลาน คนงานเองง่วงนอนกันเต็มแก่ จึงต้องมาสะสางกันเมื่อถึงวันตื่นใหม่

งานจะดำเนินหมุนวนไปเช่นนี้ ดอกมะลิบอกให้ฟัง ทั้งที่เพิ่งมาก่อนฉันแค่วันเดียว

“ทำไมเธอถึงรู้เรื่องราวเร็วจัง” ฉันอดสงสัยไม่ได้

มะลิหัวเราะหน้ารื่น

“ฉันก็ถามเขาเอาสิ ปากมีก็ต้องเอาไว้พูด” แล้วลดเสียง “ไม่ใช่เอาไว้ดูดค–อย่างเดียว”

เกือบสะดุ้ง ฉันอดมองหน้าไม่ได้ แต่ก็ยังเห็นความซื่อใสในตาเช่นเคย

…ดอกมะลิเป็นคนยังไงกันแน่ เกิดความสงสัยขึ้นในความคิด แต่ความคิดก็หยุดชะงักลง เมื่อโดนเบียดอย่างจงใจ

 

“หลบไปหน่อยสิ”

คนผมบ๊อบถ่างแขน กางศอกออกกว้างกว่าปกติ ในมือขาวมีผ้าขี้ริ้วเช่นกัน

“ตรงนี้ฉันทำแล้ว” บอกออกไป

ตากลมสะบัดมา แล้วทำเสียงในลำคอ

“เนี่ยเหรอ ทำแล้ว มีแต่คราบ” มือนั้นขยุ้มผ้าขี้ริ้วออกแรงเช็ดให้เห็นถนัดถนี่ แต่ดูอย่างไร ฉันก็ไม่เห็นในความแตกต่างจากกัน

“เธอตั้งใจหาเรื่องฉันหรือ” ตัดสินใจถามออกไปตรงๆ

ฉันยืดตัวยืน มองดูร่างที่หันกลับมาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

“…ว่าอะไรนะ”

น่าแปลก ที่พอจ้องกันอย่างจริงจัง กลับเห็นอะไรบางอย่างวูบระริกอยู่ในตา กึ่งกล้า กึ่งไม่มั่นใจ

คนคนนี้มีปัญหาอะไรกับฉัน?

“ทำไม? ฉันว่าเราพูดกันตรงๆ ดีกว่า”

ฉันตัดสินใจแล้วว่า เมื่อไม่มีอะไรจะดีหรือแย่ไปกว่าที่เป็นอยู่อีกแล้ว ฉันไม่ควรจะมีความกลัวมากเกินไป ในเมื่อชีวิตอยู่ในจุดที่ไม่มีอะไรน่าห่วง…ใช่ เพราะไม่มีใครห่วงฉัน และฉันไม่จำเป็นต้องห่วงใครอีกต่อไปแล้ว

ถ้าจะมี…คงอยู่ที่บ้านเกิดอันแสนไกล แต่ใบหน้าเหล่านั้นก็จะจางเลือนลงเรื่อยๆ ในสักวัน ฉันคิดเท่านั้น ในวันวันหนึ่ง เมื่อตื่นพบตัวเองนอนบนหลังโต๊ะที่โต๊ะเยียบเย็น

แค่ผ่านไปให้ได้วันต่อวัน ตราบใดที่ร่างกายยังต้องกินต้องอยู่ จิตใจจะสับสนและปวดร้าวเพียงใด ยังไม่มีบาดแผลใหม่ๆ ยังไม่เจ็บอย่างเคยรับรู้รสชาติความเจ็บ…ก็แค่ต้องอยู่…อยู่ไป

“ฉันไม่อยากคุยกับเธอ”

“เดี๋ยว!” ฉันดึงข้อมือนั้นไว้ ร่างนั้นดูตกใจกว่าที่คิด กระชากแขนออกทันที

และอย่างรวดเร็ว เด็กสาวตบหน้าฉัน

ดอกมะลิหันขวับ เช่นกันกับคนอื่นๆ

“เฮ้ย!” เสียงคนร้อง แล้วก็มีคนมาแยกเราออกจากกัน “หยุดๆ พวกมึงจะตีกันทำไม!”

 

“เจ็บมากหรือเปล่า” ดอกมะลิถาม ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ส่งผ้าชุบน้ำให้ฉันผืนหนึ่ง

รับมา ก็เห็นว่าคือผ้าขี้ริ้วที่ใช้เช็ดโต๊ะก่อนหน้า

“ฉันซักมาดีแล้ว ใช้ได้” มะลิตอบ แต่ก็ทำท่าจะลุกขึ้น “ถ้าเธอถือ จะไปเอาผืนใหม่”

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้อง” ฉันรีบบอก รับผ้ามาแต่โดยดี

ไม่มีรอยช้ำอะไรมากมาย แต่ใบหน้าเริ่มปรากฏรอยแดงชัดกว่าปกติ มือที่ฟาดมาไม่ได้ตั้งใจจะยั้งสักน้อย ฉันแน่ใจ

“เขาไม่ชอบตัว ก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเขาหรอก” ดอกมะลิพูด

“ฉันไม่ได้ยุ่งกับเขา!” ฉันสวนออกไป “ฉันก็ทำงานของฉัน นั่นมาหาเรื่องฉันเอง”

“อือ ฉันรู้” มะลิว่า “พวกอันธพาล เขาคงเห็นว่าเธอมาใหม่ ได้ทำแทนที่เขาไปแล้ว”

“ทำอะไร จดรายการอาหารนะเหรอ”

ฉันคิดทบทวน สิ่งเดียวที่ฉันได้รับมอบหมายในคืนแรก ที่แตกต่างจากบางคน ก็คือการรับคำสั่งลูกค้า เขียนจดรายการอาหารใส่กระดาษฉีก

คนผมบ๊อบเคยทำหน้าที่นั้น แต่เมื่อฉันบังเอิญเข้าไปทำบ้าง พักหนึ่งนายจ้างก็เปลี่ยนมามอบหน้าที่ให้

จำได้แล้วว่า คนคนนั้นต้องไปล้างถ้วยแทนฉันอยู่นาน

“เขาจะโกรธฉันทำไม ฉันไม่ได้ไปแย่งงานเขาเอง เฮียเป็นคนสั่ง”

“นั่นล่ะ ถ้าเป็นคนรับบิล จะมีโอกาสได้ทิปพิเศษ” ดอกมะลิลดเสียงกระซิบ

“แค่นี้ก็ต้องโกรธกันแล้วหรือ”

“โกรธซิ” ดอกมะลิพูดอย่างเป็นเรื่องธรรมดา “เรื่องเงินทองของสำคัญนี่นะ ถ้าเป็นผลประโยชน์ ใครล่ะจะอยากเสียไปง่ายๆ”