ส่องขุมกำลังเบเร่ต์แดง “บิ๊กเจี๊ยบ” รอบกาย “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” ตรวจแถวแม่ทัพภาคที่1และ5 ยุคสถานการณ์ “พิเศษ”

ส่องขุมกำลังเบเร่ต์แดง ทีมนักรบพิเศษของ “บิ๊กเจี๊ยบ” รอบกาย “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” ตรวจแถวแม่ทัพภาคที่ 1-แม่ทัพภาคที่ 5 ยุคสถานการณ์ “พิเศษ”

ในยุคที่มี ผบ.ทบ. มาจากหน่วยรบพิเศษ แบบที่เรียกว่า “ข้ามาคนเดียว” กลางดงวงศ์เทวัญ ทหารเสือฯ และบูรพาพยัคฆ์ เช่นนี้ ก็ย่อมต้องทำให้หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.) ถูกจับตามอง ในฐานะขุมกำลังรบในมือ บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.

ที่มี บิ๊กเล็ก พล.ท.ศิริชัย เทศนา เพื่อนรักเตรียมทหาร 16 เป็น ผบ.นสศ. คุมกำลังทหารหมวกแดง ที่ไม่ธรรมดา

เรียกได้ว่า รับไม้ต่อกันมาตั้งแต่ พล.อ.เฉลิมชัย ที่ขยับขึ้นเป็น ผช.ผบ.ทบ. ก็มี บิ๊กหน่อย พล.อ.ธนศักดิ์ เก่งถนอมม้า เพื่อนรัก ขึ้นมาเป็น ผบ.นสศ. แทน

เมื่อบิ๊กเจี๊ยบขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ก็ดึงบิ๊กหน่อยเพื่อนรัก ขึ้นเป็น พลเอก ที่ปรึกษาพิเศษ ทบ. แล้วทำหน้าที่กุนซือส่วนตัว เช่นเดียวกับที่ตั้ง บิ๊กจุ๋ม พล.อ.ราชรักษ์ เรียนพืชน์ มาเป็น ผอ.ททบ.5 และเป็นทีมงานส่วนตัว ในฐานะที่เป็นเพื่อนรักและโตมาจากรบพิเศษด้วยกัน

โดยมี พล.ท.ศิริชัย ขึ้นมาเป็น ผบ.นสศ. แทน และคาดกันว่า พล.ท.ศิริชัย ก็จะเป็น ผบ.นสศ. จนเกษียณกันยายน 2560 นี้ จนทำให้จับตามองกันว่าใครจะเป็น ผบ.นสศ.คนใหม่

หากพิจารณาจาก รอง ผบ.นสศ. ทั้งที่เป็นเตรียมทหาร 17 และ ตท.18 ปรากฏว่าเกษียณ 2561 พร้อมกันหมดแล้วนั้น พล.ต.พิบูลย์ มณีโชติ ดูจะได้เปรียบที่สุด เพราะอาวุโสรองจาก พล.ท.ศิริชัย อีกทั้งดูจะมีความสนิทสนมกับ พล.อ.เฉลิมชัย ทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน

ขณะที่ บิ๊กบัว พล.ต.กิตติศักดิ์ บัวสถิต และ บิ๊กด้วง พล.ต.อุดมศักดิ์ บัวพรหมมาตร์ รอง ผบ.นสศ. หากพลาดเก้าอี้ ก็อาจจะต้องขยับไปเป็น พลโท ที่ บก.ทบ.

ยังเหลือ บิ๊กเป้า พล.ต.อรรถพร เป้าประจักษ์ เสนาธิการ นสศ. เตรียมทหาร 19 ก็อยู่ในข่ายการพิจารณา

แต่หากยึดตามลำดับอาวุโส และเรื่องความเหมาะสม และได้รับการยอมรับในหน่วยรบพิเศษแล้ว ก็ไม่อาจมองข้าม พล.ต.สุนัย ประภูชะเนย์ ผบ.พล.รพศ.1 ที่อาวุโสต่อจาก พล.ต.พิบูลย์

แม้จะเป็น ผบ.พล.รพศ.1 อยู่ก็ตาม แต่ด้วยความเป็นนายทหารรบพิเศษ ฝีมือดี มีผลงานเพียบ เติบโตมาในสายกองพันจู่โจม และ ฉก.90 หน่วยระดับพระกาฬของรบพิเศษ จนได้ชื่อว่าเป็นดาวรุ่งรบพิเศษ แห่งเตรียมทหาร 21 ก็อาจได้รับการพิจารณา

เพราะสายสัมพันธ์พี่น้องรบพิเศษ ของ พล.ต.สุนัย กับ พล.ท.ศิริชัย และ พล.อ.เฉลิมชัย ก็ถือว่าแนบแน่น

เพราะหากจังหวะก้าวของ พล.ต.สุนัย เป็นไปอย่างสวยงาม นับจากนี้ โอกาสที่จะได้ลุ้นนายทหารรบพิเศษอีกสักคน ขึ้นสู่ห้าเสือ ทบ. และชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ. ก็พอจะมี เพราะเขาเกษียณ 2563
คาดกันว่า พล.อ.เฉลิมชัย คงจะเล็งไว้ในใจแล้วว่าใครจะขึ้นมาคุมกำลัง “พลังเงียบ เฉียบขาด” หน่วยนี้ เพราะเขาเติบโตมาในทุกหน่วยของ นสศ. ก็ย่อมรู้จักลูกน้องดีทุกคน ว่าใครเป็นอย่างไร ฝีมือแค่ไหน

ยิ่งในยุคที่ทหารรบพิเศษจะต้องรับหน้าที่ในการดูแลความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย ในช่วงเปลี่ยนผ่าน และที่คาดกันว่า พล.อ.เฉลิมชัย ก็จะเป็น ผบ.ทบ. ยาว 2 ปี จนถึงปี 2561 ด้วยแล้ว ย่อมต้องเลือก “มือหนึ่ง” มาเป็น ผบ.นสศ. เป็นทีมเวิร์กทำงานสำคัญ

ส่วนในระดับที่เป็น “มดงาน” มือทำงานภาคสนาม ที่ พล.อ.เฉลิมชัย เรียกว่าเป็น “หัวใจของรบพิเศษ” นั้น ก็อยู่ที่ระดับผู้บังคับการกรม และกองพันสำคัญ

โดยเฉพาะรบพิเศษที่ถูกเรียกว่า “ป่าหวาย” ที่เติบโตมาจากค่ายวชิราลงกรณ์ เช่นเดียวกับบิ๊กเจี๊ยบ และอดีตนายทหารรบพิเศษคนสำคัญของ ทบ. ทั้ง บิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีและอดีตนายกฯ อดีต ผบ.ทบ. พี่เลิฟของ พล.อ.เฉลิมชัย

รวมทั้ง บิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุญรัตนกลิน อดีต ผบ.ทบ. และอดีตหัวหน้าคณะปฏิวัติ ในนาม คมช. ที่ก็โตมาจากป่าหวาย

ที่ตอนนี้มี “ผู้การฟาสต์” พ.อ.อิศรา ดำรงศักดิ์ เตรียมทหาร 27 นั่งเป็นผู้บังคับการกรมรบพิเศษที่ 1 (ผบ.รพศ.1) หรือผู้การป่าหวาย อันเป็นฉายาที่เรียกทหารเบเร่ต์แดงมายาวนาน และมี “ผู้การโต” พ.อ.สุวัฒน์ โตเสวก (ตท.26) เป็น ผบ.รพศ.2

ส่วนที่ค่ายเอราวัณ “ผู้การหนุ่ย” พ.อ.ธนภัทร นาคชัยยะ เป็นผู้บังคับการกรมรบพิเศษที่ 3 (ผบ.รพศ.3) เตรียมทหาร 26 ที่ฝีมือได้รับการยอมรับ อีกทั้งเส้นทางไม่ธรรมดา เพราะแม้จะเติบโตมาแบบนักรบ แต่ก็เคยไปเป็นผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารบก ประจำกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ก่อนที่จะกลับมาเป็นผู้บังคับการกรมสำคัญ

สำหรับ ทบ. แล้ว นายทหารที่เดินมาในสายทูตทหาร ก็มักจะกลายเป็นสายบุ๋นไปเลย และมักจะไปเติบโตในฝ่ายอำนวยการ แต่ พ.อ.ธนภัทรได้กลับเข้าขุมกำลังรบพิเศษ และจ่อเติบโต

ที่สำคัญคือได้รับความไว้วางใจในการไปทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหมด้วย ที่หากเป็นงานใหญ่ที่ พล.อ.ประวิตร ต้องออกนอกหน่วยทหาร พ.อ.ธนภัทร ก็จะไปดูแลด้วยตนเอง

รวมทั้งการจัดกำลังทหารรบพิเศษ ไปเป็นทีมรักษาความปลอดภัยให้ พล.อ.เฉลิมชัย ผบ.ทบ. อีกด้วย

ผู้การหนุ่ย ในฐานะที่เป็น ผบ.รพศ.3 ยังคุมหน่วยกำลังสำคัญที่เรียกว่า “หน่วยล่าสังหาร” ทั้งกองพันจู่โจม (พัน จจ.) และ “หน่วยเฉพาะกิจ 90” ที่เรียกกันติดปากว่า “ฉก.90” หรือกองพันปฏิบัติการพิเศษ

ที่ตอนนี้มีผู้พันโอ พ.ท.อรรถกร ด่านสกุล (ตท.35) เป็น ผบ.พันจู่โจม ที่ขึ้นมาตรงนี้ได้ต้องเรียกว่าไม่ธรรมดา และมีผู้พันเอิร์ธ พ.อ.อินทนนท์ รัตนกาฬ เป็น ผบ.ฉก.90 มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่อัตราผู้บังคับกองพัน เป็นพันโท จนมีการปรับโครงสร้างหน่วยใหม่ ให้เป็นกองพันปฏิบัติการพิเศษ และมีผู้บังคับกองพัน ยศพันเอก

เพราะ พ.อ.อินทนนท์ ตท.31 ถือเป็นนายทหารรบพิเศษที่เป็นดาวเด่นในหน่วยรบพิเศษ และเป็นอดีตนายทหารคนสนิทของ พล.อ.สุรยุทธ์ มายาวนาน แถมทั้งเป็นลูกน้องที่ พล.อ.เฉลิมชัย ชื่นชม

โดยที่ พ.อ.อินทนนท์ ก็จัดทีมมาช่วยดูแล ผบ.ทบ. และส่งกำลังรบพิเศษไปดูแลทำเนียบรัฐบาล ให้ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.

นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งและเพิ่มกำลังทหารรบพิเศษ มาอยู่ที่ “นสศ.ส่วนหน้า” ที่กองบัญชาการกองทัพบก อีกด้วย

“ทหารรบพิเศษ ต้องมาดูแลงานความมั่นคง ความปลอดภัยให้รัฐบาล เพื่อก้าวเดินไปสู่การเลือกตั้ง เราเป็นหน่วยที่ ทบ. เชื่อมั่นตลอดมา และตลอดไป” พล.อ.เฉลิมชัยกล่าวไว้

พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ และพล.ต.ธรรมนูญ วิถี

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่ปกติ และอาจถูกเรียกว่าเป็นสถานการณ์พิเศษ ที่ทำให้ ผบ.ทบ.รบพิเศษ อย่าง พล.อ.เฉลิมชัย ถูกจับตามองเป็นพิเศษ

ในฐานะที่หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ก็เปรียบเป็นขุมกำลังรบของ ทบ. ที่เสมือนเป็น “กองทัพภาคที่ 5” จากที่มีกองทัพภาคที่ 1 คุมภาคกลางและกรุงเทพฯ กองทัพภาคที่ 2 คุมอีสาน กองทัพภาคที่ 3 คุมภาคเหนือ และกองทัพภาคที่ 4 คุมภาคใต้

หากไล่ดูขุมกำลัง บิ๊กแดง พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ที่แม้จะเป็นรุ่นน้องสุด ตท.20 ในบรรดาแม่ทัพภาค แต่ก็เป็นกองทัพภาคที่ถูกมองว่าสำคัญที่สุด เพราะเป็นกำลังรบในภาคกลางและขุมปฏิวัติ ใจกลางกรุง

แถมถูกมองว่าจะขึ้นเป็น ห้าเสือ ทบ. และเป็น ผบ.ทบ. ในอนาคตอันใกล้นี้ เขามีอายุราชการถึงปี 2563 อันเป็นความหวังของทหารสายวงศ์เทวัญ และ ร.11 รอ. ที่กำลังกลับมาเพื่องฟู

ความสำคัญของ พล.ท.อภิรัชต์ นี้ แถมทั้งเคยไปศึกษาต่อที่อเมริกา จึงทำให้ ทบ.สหรัฐอเมริกา เชิญไปเยือนหน่วยสำคัญๆ ของสหรัฐช่วงต้นเดือนมีนาคม รวมทั้งนายทหารระดับคุมกำลัง ระดับผู้บัญชาการกองพล และ บิ๊กหนุ่ย พล.ต.ธรรมนูญ วิถี รองแม่ทัพภาคที่ 1 และทีม ผบ.นสศ. และหน่วยรบพิเศษอีกด้วย

พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช และพล.ท.วิชัย แชจอหอ

ส่วนกองทัพภาคที่ 2 มี บิ๊กแช พล.ท.วิชัย แชจอหอ ที่ได้ชื่อว่าเป็น “ทหารเสืออีสาน” ที่ทำงานติดตามเสด็จมายาวนาน เป็นแม่ทัพภาคที่ 2 และเป็นเพื่อน ตท.17 ของ บิ๊กแกละ พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร รอง ผบ.ทบ. และ บิ๊กต้อ พล.อ.สสิน ทองภักดี เสธ.ทบ.

แต่ด้วยอายุราชการถึงปี 2562 ทำให้เขาถูกมองว่ามีสิทธิ์ลุ้นชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ. ด้วยเช่นกัน เพราะทหารที่โตจากแม่ทัพภาคที่ 2 ไม่ได้เป็น ผบ.ทบ. มานานมากแล้ว ตั้งแต่ยุค ป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และ พล.อ.สุรยุทธ์

แม้ พล.ท.วิชัย จะเป็นรอง พล.ท.อภิรัชต์ ก็ตาม แต่ก็ไม่อาจมองข้าม เพราะ พล.ท.วิชัย ก็เป็นนายทหารลูกรักของป๋าเปรมอีกคน เพราะเป็นทหารเสือฯ อีสาน ที่ติดตามเสด็จมาตลอด

โดยทุกวันนี้ เขาก็มาช่วยงานในมูลนิธิรัฐบุรุษฯ ของ พล.อ.เปรม ที่มี พล.อ.สุรยุทธ์ และประธานมูลนิธิ ร่วมด้วยอดีตนายทหารขุนพลอีสาน ที่เคยทำงานกับ พล.อ.เปรม มาทั้งสิ้น

พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ, พล.ท.ศิริชัย เทศนา และ พล.ต.สุนัย ประภูชะเนย์

ส่วนกองทัพภาคที่ 3 มี บิ๊กตี๋ พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ นายทหารม้า ตท.18 ที่เติบโตในภาคเหนือมาตลอด เคยเป็นผู้พัน ม.พัน 14 ค่ายน้ำพอง “เปรม ติณสูลานนท์” จนเป็น ผบ.มทบ.32 และรองแม่ทัพภาคที่ 3 และเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 เจ้าของม็อตโต้ “คิดอะไรไม่ออก บอกตี๋”

ที่สำคัญคือ บิ๊กตี๋บอกว่า “ผมเป็นคนไฮเปอร์ ทำอะไรช้าไม่เป็น”

อีกทั้งการเป็นทหารอาชีพ เมื่อผู้บังคับบัญชาสั่งมา ก็จะทำทันทีและทำให้สำเร็จ

พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช และ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช

ส่วนแม่ทัพภาคที่ 4 บิ๊กอาร์ท พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช นั้น ดูจะเป็นแม่ทัพคนดัง ตั้งแต่ขึ้นมา ก็ถูกมองว่าเพราะเป็นน้องชาย บิ๊กหมู พล.อ.ธีรชัย นาควานิช องคมนตรี ที่ในขณะนั้นเป็น ผบ.ทบ.

แต่มาตอนนี้ พล.ท.ปิยวัฒน์ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ที่ขึ้นมานั่งเก้าอี้แม่ทัพภาคที่ 4 เพราะความสามารถในฐานะที่เป็นนายทหารที่เติบโตมาในพื้นที่ยาวนาน และทำงานด้านการข่าวกรองมาตลอด

ตั้งแต่จบจากเตรียมทหาร 18 และ จปร.29 นั้น พล.ท.ปิยวัฒน์ ก็มาลงที่ ร.25 พัน 2 ระนอง ที่ลงมาปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ตอนที่ยังมี “โจรจีนคอมมิวนิสต์” (จคม.) โดยเฉพาะที่ยะลา นาน 6 ปี

ก่อนที่จะไปอยู่หน่วยข่าวกรองทางทหาร (ขกท.) ทำงานข่าวกรองให้หน่วยรบพิเศษ ในส่วน ศปก.นสศ. อีก 6 ปี ก่อนไปทำงานชายแดนรอบบ้าน ด้านลาว มาเลเซีย และมาเป็น ผอ.กองข่าว กองทัพภาคที่ 4 และคุมหน่วยการข่าว กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และเกาะติดจนมาถึงวันนี้

ความเป็นนายทหารที่อารมณ์ดี ติดดิน เรียบง่าย ที่ชาวบ้านเข้าถึงได้ง่าย จนถึงขั้นแจกเบอร์มือถือให้แนวร่วมก่อความไม่สงบ ติดต่อมามอบตัว โดยที่ พล.ท.ปิยวัฒน์ไปรับเอง ด้วยคำสัญญาที่ว่า “ไม่ว่าจะอยู่ที่ภูเขาลูกไหน ป่าไหน ผมจะไปรับด้วยตัวผมเอง”

บิ๊กอาร์ทยึดหลัก “กฎหมายนำ การทหารตาม การเมืองขยาย” ในการแก้ปัญหาความไม่สงบ แต่ในการทำงานแล้ว ยึดม็อตโต้ “รับคำสั่ง…ทำทันที…ทำให้ดีที่สุด” และ “จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด” และ “ไม่มีสิ่งสุดวิสัย สำหรับจิตใจที่แน่วแน่”

เรียกได้ว่า แม่ทัพนายกอง ขุมกำลังรบ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ได้ร่วมกันจัดทัพเอาไว้นั้น “ไม่ธรรมดา” และเหมาะกับสถานการณ์ไม่ปกติ และพิเศษๆ เช่นนี้ และในอนาคตอันใกล้มากนี้จริงๆ