ฉัตรสุมาลย์ : ขึ้นเขาง้อไบ๊

หลังจากเดินทางในจีนครั้งนี้ 6 วัน กลับมาแล้วให้คะแนนว่าการเดินทางขึ้นเขาง้อไบ๊เป็นที่สุดของความสนุกตื่นเต้นค่ะ

ที่นี่ หมายถึงที่ประเทศจีน เขาเรียกเขาเอ๋อเหมยซานนะคะ เราเตรียมเสื้อผ้ากันหนาวมาเต็มพิกัดของเราจากเมืองไทย มี heat tech ข้างใน ทับด้วยเสื้อหนาวลักษณะต่างๆ กัน คิดว่าจะสู้หนาวได้

ลูกทัวร์บางคนที่ไม่เคยสัมผัสหิมะมาก่อน ถามท่านธัมมนันทาว่าจะได้เห็นหิมะไหม ท่านว่า “ไม่น่านะ” เพราะหิมะจะมาช่วงกลางธันวาคม แต่ช่วงที่คณะเราไปนั้น เพิ่งกลางพฤศจิกายน

เราเดินทางออกจากโรงแรมหลังอาหารเช้า ประมาณ 8 โมง พวกเราพร้อมบนรถแล้วค่ะ ครอบครัวที่มีเด็กๆ มาก็พร้อม ไม่มีโยเยกันเลย

พอรถออกมาได้หน่อยหนึ่ง พนา ไกด์ของเราบอกว่า มีข่าวดีจะบอกนะ ได้ข่าวว่าเมื่อคืนหิมะตกบนเขา หนาตั้ง 5 นิ้ว

“ว้าว” พวกเราได้เฮเลยทีเดียว เพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นหิมะ เตรียมใจที่จะได้สัมผัสกับหิมะของจริง

ที่เชิงเขา รถบัสของเราแวะจอดตรงจุดขายตั๋ว พนาไปซื้อตั๋ว พวกเราเข้าห้องน้ำ เรื่องเข้าห้องน้ำนี้เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ปวดก็ต้องเข้า จะทำแบบไปอินเดีย แบบชูนิ้วก้อย แล้วคนขับจอดข้างทางให้พวกเราลงไปเก็บดอกไม้ ไม่ได้นะคะ (ฮิ ฮิ)

ดอกไม้สวย พวกเราก็แวะชื่นชมธรรมชาติ ถ่ายรูปกับป้าย ภาษาจีนอ่านไม่ออก ก็เอาค่ะ แซวกันเองว่า ป้ายนั้นอาจจะอ่านว่าทางไปห้องน้ำก็ได้นะ

เราเดินทางด้วยรถบัส เลาะไหล่เขาขึ้นไป ท่านธัมมนันทาทำหมวกถักไหมพรมที่เตรียมตัวมาอย่างดีจากเมืองไทยหาย ประเดี๋ยวเดียว พนาเปิดโทรศัพท์ให้ดูรูปที่ส่งมาทางไลน์ของโรงแรมว่า “ใบนี้ใช่ไหม” ผู้จัดการโรงแรมเก็บไว้ให้ค่ะ หล่นอยู่ที่ห้องอาหารที่เราไปรับประทานอาหารเช้ากันนั่นเอง ช้าไปแล้วต๋อย เราขึ้นเขามาตั้งครึ่งชั่วโมงแล้ว พนาให้กำลังใจว่า ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวจะได้แวะร้านขายของซื้อหมวกได้ เตรียมหยวนไว้ก็แล้วกัน

พูดถึงเงินหยวน ปีนี้หยวนถูกกว่าปีก่อนค่ะ ปีก่อน (2561) หยวนละ 5 บาท ปีนี้ซื้อไปจากไทยได้หยวนละ 4.30 บาท

 

ประมาณ 45 นาที เรียกว่าครึ่งทาง รถจอดให้เราทั้งเข้าห้องน้ำ ทั้งช้อปปิ้ง ท่านธัมมนันทารีบลงไปก่อนเลย ได้หมวกไหมพรมถักด้วยเครื่องสองชั้น สีน้ำตาลไม่ค่อยเป็นพระเท่าไร ก็ต้องยอม ปรากฏว่า เมื่อไปถึงยอดเขา รู้สึกขอบคุณที่ตัดสินใจซื้อ เพราะแม้หมวกไหมพรมที่เตรียมมาชั้นเดียวก็ไม่น่าจะสู้กับความหนาวเย็นบนเขาได้

บางคนทดลองชาสำเร็จรูป เติมน้ำร้อนเอง ที่ประเทศจีน น้ำร้อนมีให้ทุกจุด แม้สถานีรถไฟที่เคยเล่าให้ฟังครั้งก่อนว่าประทับใจเขามากๆ ราคาชาแบบเดียวกันนี้ เริ่มต้นที่ 5 หยวน 8 หยวน 10 หยวน แล้วแต่ว่าซื้อที่ไหนค่ะ ถ้าเป็นจุดที่เขาต้องขนส่งมายากลำบากก็ราคาแพงขึ้นเป็นธรรมดา

เราพักเพียง 10 นาที รถเคลื่อนตัวไปต่อ ถนนคดเคี้ยวไปตามไหล่เขา อีกฝั่งหนึ่งที่อาจจะตกเขาได้ มีราวเหล็กแข็งแรง เสาแต่ละต้น ห่างกันเพียงเมตรครึ่ง และตั้งอยู่บนเสาซีเมนต์เล็กๆ ดูมั่นคงทีเดียว

อ้อ ลืมเล่าไปค่ะ สำหรับผู้เฒ่าอายุเกิน 70 ราคาตั๋วถูกลงมากเลย เราเสียกันคนละ 210 หยวน ในขณะที่สาวๆ เสียค่าตั๋ว 290 หยวน เรารู้สึกว่าเป็นผู้เฒ่าก็มีข้อดีน้า แต่เราซื้อตั๋วเป็นคณะก็ได้ถูกลงไปอีก

รถวิ่งต่อมาอีกสัก 45 นาที เราเริ่มเห็นหิมะขาวทั้งสองข้างทาง คราวนี้พอลงจากรถ อูย หนาวจริง หลายคนที่เตรียมเสื้อหนาวมา 2 ชั้นก็เอาไม่อยู่ค่ะ มีเคาน์เตอร์ให้เช่าเสื้อโค้ต เด็กๆ ต้องเช่าเสื้อโค้ตใส่ทับอีกคนละตัว สองคนเล็กได้เสื้อโค้ตเป็นชุดหมีแพนด้า สนุกสนานไปอีกแบบหนึ่ง เดินเป็นลูกหมีแพนด้าไปตลอดทาง

ช่วงแรกเดินขึ้นบันไดซีเมนต์ ประมาณ 1,000 ขั้น ตอนนี้ท่านผู้เฒ่าในคณะไม่ต้องคิดมากเลย เรียกเสลี่ยงมานั่ง คนจีนหามข้างหน้าคนหนึ่ง ข้างหลังคนหนึ่ง ราคาเสลี่ยง 280 หยวน เราศึกษาในกูเกิล คนที่เขาเคยใช้บริการเล่าว่า เสลี่ยงคนละ 200 หยวน ไม่เป็นไร อาจจะหลายปีมาแล้ว ท่านผู้เฒ่ารายหนึ่งท่านว่า คุ้มกว่าเสียค่ายา

สำหรับท่านที่เคยนั่งเสลี่ยงแขกหามที่อชันตา ขอบอกว่าเสลี่ยงจีนนิ่มกว่าเยอะเลยค่ะ เส้นทางบันได 1,000 ขั้นนี้ เขามีคนหามเปลี่ยนกัน 4 ชุด ใช้คนทั้งหมด 8 คน เวลาจ่ายเงินจ่ายให้กับตัวแทนของบริษัทที่คงจะไปจัดสรรกันเอง

 

เส้นทางนี้สำหรับหนุ่ม-สาวเดินสบายๆ ทั้งอากาศหนาว จึงไม่รู้สึกเหนื่อยมากนัก คนที่นั่งเสลี่ยงมากับคนที่เดินขึ้นมาก็ถึงที่หมายเวลาไล่เลี่ยกัน

ตรงนี้เราต้องรอให้ทุกคนพร้อมกัน ยืนรออยู่ข้างนอกก็หนาวสุดๆ เลยเลี่ยงเข้าไปในร้านขายของที่ระลึกที่มีอยู่เพียงร้านเดียว

พอไกด์ขึ้นมา สังเกตจากธงไทยที่เขาถือนั่นแหละ เราก็ออกไปเข้าแถว เพื่อขึ้นรถกระเช้าค่ะ คราวนี้ต้องประหลาดใจอีกแล้ว ผู้เขียนนึกภาพรถกระเช้าประมาณคันละ 10 คน พอกระเช้ามาจอดเทียบ คนที่ออกจากกระเช้าออกคนละด้านกับคนขึ้น เขาจัดระเบียบดีทีเดียว พอเราเดินเข้าไป เหมือนกับรถเมล์คันใหญ่ ยืนเบียดกัน เจ้าหน้าที่ผู้หญิงก็สั่งให้เดินเข้าไปอีก เดินเข้าไปอีก เงยหน้าขึ้นที่เหนือประตู จึงเห็นว่า เขากะว่าจุ 100 คน น้ำหนักเขารับได้ 7,070 ก.ก. เฉลี่ยน้ำหนักคนละ 70 ก.ก. เป็นกระเช้าไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดที่ผู้เขียนเคยขึ้น

คนที่ยืนติดประตูก็ถ่ายรูปบ้าง บันทึกวิดีโอบ้าง ตอนที่ข้ามหุบเขา สวยมาก หิมะขาวโพลนทั้งสองฝั่ง ลิงแถบนี้ตัวโต ขนหนามากเพื่อสู้กับความหนาว แต่ดูเขาจะคุ้นกับคน ไม่หนี ใครอยากถ่ายรูปก็เชิญ ไม่เรียกหยวนเพิ่ม หิมะที่เกาะอยู่บนกิ่งสนทั้งสองข้างทางเป็นความงามที่ธรรมชาติจัดสรรอย่างลงตัว ไม่มีเสียงพูดคุยเลยค่ะ เบียดกันแน่น อบอุ่นดี

พอกระเช้าจอด ทุกคนขมีขมันลง ตรงทางเดินที่พาเราออกจากกระเช้านี้ บันทึกอุณหภูมิว่า -3 องศา บวกกับลมน่าจะถึง -8 องศา เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตสำหรับหลายๆ คนในทัวร์กลุ่มนี้

 

ตรงนี้เราไปที่ร้านอาหารค่ะ เป็นภัตตาคารที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวจริงๆ คณะเรา 4 โต๊ะ ทุกคนรู้หน้าที่ เข้านั่งประจำโต๊ะ 2 โต๊ะเป็นอาหารมังสวิรัติ สองโต๊ะอาหารธรรมดา อาหารก็สั่งไว้แล้ว ทันทีที่นั่งเต็มโต๊ะ พนักงานก็ลำเลียงอาหารออกมาอย่างรู้งาน

ผู้เฒ่าในคณะที่อายุ 70 ขึ้น 4 ท่าน เก่งทุกคนค่ะ กลายเป็นลูกทัวร์วัย 40 เศษที่ไปต่อไม่ได้ เพราะตรงนี้ออกซิเจนบางมาก เราขึ้นมาสูงเหนือระดับน้ำทะเล 3 พันกว่าฟุต มีอาการเหนื่อย หัวใจเต้นเร็ว รับประทานอาหารแล้วก็ไม่ฝืน ให้นั่งรอคณะอยู่ที่ภัตตาคาร โชคดีว่า เรามีคุณหมอมาด้วย วัดความดันกันดูแล้ว ให้นั่งพักสบายๆ ไม่เร่งรีบ รอให้คณะที่จะไปต่อ

เรายังไม่ถึงที่หมายเลยค่ะ

รับประทานอาหารกันแล้ว เราเริ่มขยับแข้งขา เดินทางไปต่อ เราเดินขึ้นบันไดมาอีกสัก 100 ขั้นกระมัง ยังไม่ทันเหนื่อย ก็ถึงที่หมาย

แต่เนื่องจากความหนาวเย็น และความสูง บรรยากาศสลัวๆ ไม่สว่าง ไม่มีแดด เราก็เลยได้รูปประมาณในหมอก สวยไปอีกแบบ

แต่คนจีนก็รู้ทางทำมาหากิน มีตากล้องที่จัดการให้เราได้ค่ะ เขาถ่ายรูปเรา แล้วเอาไปแปะบนฉากที่เราต้องการ มีคนทำงานกับเครื่องคอมพ์ และเครื่องปริ๊นต์อยู่ในเต็นท์ข้างทาง พูดกันไม่รู้เรื่องนะคะ แต่ได้งาน จ่ายไปรูปละ 60 หยวน

เราเดินไปเอามืออังความร้อนจากกระถางปักธูปขนาดยักษ์ ให้ความอบอุ่นดีทีเดียว ใส่ถุงมือก็ถ่ายรูปไม่ถนัด ถอดถุงมือก็หนาวจนเจ็บมือ ไม่รู้จะเอายังไง

หลายคนพยายามถ่ายรูปในความหนาวเย็น องค์พระประธานที่เป็นพระโพธิสัตว์ประทับนั่งบนช้าง 6 งา มีพระพักตร์ทั้งสี่ หันไปทั้งสี่ทิศ พระเศียรซ้อนกันสามชั้น รวม 10 พระพักตร์ พระพักตร์เปี่ยมด้วยความเมตตา งามมากจริงๆ พาหนะของพระองค์ท่านเป็นช้างมีงา 6 งา เป็นเอกลักษณ์ องค์นี้คือ ผู่เสียนโพธิสัตว์ หรือพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ พระมหาโพธิสัตว์ของมหายานค่ะ

ที่ลานอันกว้างใหญ่รอบองค์พระประธานเป็นตำหนักทั้งสี่ทิศ ตำหนักทอง ตำหนักเงิน ฯลฯ

เรามุดเข้าไปที่ห้องโถงใต้องค์พระประธาน ไม่ใช่อะไร มันอุ่นดีค่ะ

 

แล้วก็ต้องตะลึงกับความงามของพุทธศิลป์ พระพุทธรูป พระโพธิสัตว์แต่ละองค์ งามจริงๆ เจ้าหน้าที่เมื่อเห็นท่านธัมมนันทาเป็นภิกษุณีในพระพุทธศาสนาก็มาเปิดเชือกที่กั้นออก ให้ได้เข้าไปกราบใกล้ๆ ขอโทษท่านผู้อ่านที่ไม่มีรูปมาฝาก เขาไม่อนุญาตค่ะ และโดยเฉพาะเขาให้เกียรติท่านธัมมนันทา เอาเชือกที่กั้นออกให้ได้เข้าไปชมอย่างใกล้ชิด เราจะไปแอบละเมิดกฎเกณฑ์ไม่ได้

ท่านธัมมนันทานั้น ท่านอินกับงานศิลปะมาก ตลอดทางที่เดิน ท่านพนมมือไปตลอด ส่งใจสักการะทั้งพระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์ บางรูปทำใหม่ แต่ก็เป็นรูปเสมือนที่เราตั้งใจสักการะพระพุทธเจ้า แม้แต่ลูกทัวร์หนุ่มใหญ่ ที่ไม่ใช่คนที่จะศรัทธาอะไรง่ายๆ ก็ออกปากว่า ศิลปะของจีนนั้น งามจริงๆ

งานศิลปะที่มีคุณภาพมันยกระดับจิตผู้ชมเช่นนี้เอง ผู้เขียนขณะที่พิมพ์เรื่องนี้ ก็ย้อนระลึกความรู้สึกที่ได้สัมผัสกับพุทธศิลป์ที่นั่น ก็ยังอดขอบคุณศิลปินผู้สร้างงานไม่วาย เราต้องไม่ลืมว่า เพียงลำพังตัวเราเอง ไม่ได้ถือน้ำหนักอะไรขึ้นมาเลย ยังขึ้นมาด้วยความยากลำบาก

แล้วงานศิลปะเหล่านี้ ตลอดจนการก่อสร้างที่เราเห็นนั้น ขึ้นมาด้วยความยากลำบากเพียงใด หากไม่ใช่พลังศรัทธาแล้วไซร้ ทำไม่ได้แน่นอน

 

ลูกทัวร์สาวๆ หนุ่มๆ เดินชมตำหนักที่อยู่ทั้งสี่ทิศ ชมความอลังการของงานศิลปะ แต่ผู้เขียนชมที่เดียว ใช้เวลาดื่มด่ำนานหน่อย

แล้วจึงนมัสการลาพระโพธิสัตว์ที่เป็นประธาน ค่อยเดินลงมารับลูกทัวร์ที่รออยู่ภัตตาคาร นอกจากผู้เฒ่าที่นั่งเสลี่ยงลงแล้ว คราวนี้ต้องเรียกเสลี่ยงเพิ่มสำหรับอาจารย์สาวที่มีอาการไม่สบายเพราะหายใจไม่ทัน น้องชายวัย 9 ขวบก็มีอาการเหนื่อยมาก ปากเขียวเลย ชีพจรตั้ง 150 เลยให้นั่งเสลี่ยงกลับลงไป

เมื่อคณะกลับมาถึงรถทัวร์ของเรา น้องเล็กที่สุดในทัวร์วัย 6 ขวบที่มีพ่อจูงมือเดินตามเสลี่ยงลงมา ถามพี่ชายว่าพูดอย่างไรถึงได้นั่งเสลี่ยง

เอ้อ อันนี้ก็ตอบไม่ได้ค่ะ

แต่พาพวกผู้ใหญ่หัวเราะไปตามๆ กัน

มีหักมุมอีกนิดหนึ่ง พอเราเอาเสื้อหนาวไปคืน โดยนึกว่าค่าเช่าตัวละ 30 หยวน เราให้ไป 100 หยวน เราจะได้คืน 70 หยวน ขอโทษค่ะ เขาบอกว่าตัวที่เราเอามานั้นของใหม่ เป็นซื้อขาด เอาละซี ก็เลยต้องเอาหมีแพนด้า (เสื้อโค้ต) มาเลี้ยงต่อที่เมืองไทย

ยังไม่หมดค่ะ ขาลงคราวนี้ ลูกทัวร์เกิดอาการวิงเวียนตามแรงเหวี่ยงของรถที่ไต่เขากลับลงมา พอถึงจุดพักกลางทาง ต้องลงไปอาเจียนก็มี ทั้งหมดนั้น คนสาวๆ ทั้งนั้น

ผู้เฒ่าทั้ง 4 ท่าน สบายมาก อาจจะนึกในใจว่า เรื่องแค่นี้ ตูผ่านมาซะเยอะกว่านี้แล้ว แซวกันเล่นนะคะ ไม่ว่าจะอย่างไร ทุกคนพยักหน้ารับว่าเป็นที่สุดของประสบการณ์ชีวิตทีเดียว สนุกสุดๆ