คำ ผกา : เสรีภาพคือศักดิ์ศรี

คำ ผกา

เพื่อนสาวชาวไซ่ง่อนมาปรึกษาว่าจะไปเรียนวิปัสสนาที่พม่าดีไหม?

ฉันถามว่าทำไมถึงอยากวิปัสสนา

เธอบอกว่า ได้ยินมาว่า สำนักวิปัสสนาแบบพม่า ถ้าฝึกแล้วจะระลึกชาติได้ (ร้อง “จ้า” ยาวมากในใจ)

ฉันก็ถามต่อไปอีกว่า แล้วจะอยากระลึกชาติไปเพื่อ?????

เธอตอบว่า จะได้รู้ว่า ชาติที่แล้วทำเวรกรรมอะไรไว้ ชาตินี้ถึงยังโสดหาผัวไม่ได้สักที

แหม ฉันคันปากเป็นที่สุด อยากจะบอกว่าไม่ต้องไปถึงพม่า มาที่แม่ชีทศพรก็พอ เพราะคำตอบมันง่ายๆ ว่า ที่หาผัวไม่ได้ เพราะชาติที่แล้วไปเปิดประตูเมืองหรือปิดประตูเมืองอะไรสักอย่างให้ข้าศึกเข้ามารุกรานประเทศไทยได้

แต่มุขนี้ใช้ไม่ได้ เพราะนางดันเป็นเวียด

สิ่งที่ฉันอยากจะตั้งคำถามคือ การไปวิปัสสนาเพื่อระลึกชาติได้ถือเป็นการ “บิดเบือน” พระพุทธศาสนาหรือไม่?

ถ้าใช่ สำนักวิปัสสนาของพระที่พม่าก็ต้องถือว่า บิดเบือน ชั่วช้า ทำลายศาสนา หมิ่นพระศาสดา ด้วยหรือเปล่า?

 

นึกถึงประเด็น “บิดเบือน” คำสอนของพุทธศาสนาขึ้นมาก็ข่าวธรรมกาย ไอ้เรื่องจะไปล้อม จะไปตั้งกองกำลัง จะขนไปกี่หน่วย กี่กองร้อย อยากทำอะไรก็ทำเถอะ ถ้าคิดว่าทำแล้วดี ทำแล้วมีประโยชน์กับประเทศชาติ

แต่ประเด็นที่ฉันเห็นว่าน่าสนใจคือ การดิสเครดิตธรรมกายว่า บิดเบือน

อนึ่ง ต้องขอชี้แจงว่า ฉันไม่เชื่อในศาสนา แต่สามารถไหว้และเคารพทุกๆ ศาสนาได้เหมือนๆ กันเท่าๆ กันหมด

นั่นคือ ฉันเคารพศาสนาในฐานะที่เป็น “รสนิยม” ส่วนบุคคล ใครใคร่ทำอะไร ทำ ใครใคร่ทำบุญ ทำ ใครอยากสวดมนต์ สวด ใครอยากใส่บาตรพระวันละ 99 รูปทุกวัน ทำ ใครอยากรดน้ำมนต์ ดูดวง สะเดาะเคราะห์ เสก เป่า เจิม – ทำ

ใครอยากไปสายวัดป่า ปลีกวิเวก ถ้าทำแล้วสบายใจ ทำ

ใครชอบพระวัดแบบบ้านๆ ตรงไปตรงมา ไม่เคร่งครัด แต่ติดดิน ใกล้ชิดชาวบ้าน แม้จะหละหวม ไม่สำรวม ก็ชอบไป ไม่ว่าอะไร หรือจะมีพระ มีวัด เป็นตุ๊ด เป็นเกย์ สำหรับฉันไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น – ขออย่างเดียว อย่ามายุ่งกับฉัน

อยากเป็นศาสนาแบบไหน เป็น อยากทำอะไรทำ จะเหาะเหินเดินอากาศ ปลุกเสกกุมารทอง

หรือจะมาแนวภาวนาหาความตาย เตรียมตัวตาย ฮิปๆ ปัญญาชนชวนกันเดินยาตรา อะไรก็ว่าไป หรือจะมาแนวล้างสมองดารา สร้างวัดให้ถูกจริตคนในวงการบันเทิงที่คิดว่าตนเองมีสมองกว่าดาราทั่วไปหน่อย เลยติดกับดักภาษาของพระที่มีจริตจะก้านแบบนักเขียนรุ่นใหม่ ใส่กลิ่นอายนิวเอจเล็กๆ เถรวาทพองาม – ถ้าชอบก็ไปเลย ทำเลย – ไม่มีอะไรผิด

ความเชื่อ ศรัทธา เป็นทุกอย่างที่เกี่ยวกับความสบายใจ

แต่ความประหลาดของชาวพุทธไทยคือ เชื่อว่ามีพุทธแท้แค่หนึ่งเดียว และพุทธแท้หนึ่งเดียวนั้นคือ พุทธของกู ตัวกู ผิดจากที่กูชอบคือ พุทธเทียม พุทธบิดเบือน

ประหลาดยิ่งกว่านั้นคือ พุทธไทยเป็นพุทธปนผี ต่อมาก็ปนพราหมน์ ต่อมาก็ปนกับอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะ เช่น การไหว้พระเก้าวัด การสะเดาะเคราะห์ การปลุกเสก การปล่อยนกปล่อยปลา การแก้ปีชง

การเจิมรถ เจิมบ้าน เจิมออฟฟิศ การบอกหวย การดูดวง การไหว้ราหู (ในวัด! – เดี๋ยวนะ ราหู เป็นพุทธตรงไหนเหรอ?) ก็ไม่เคยได้ยินใครโวยวายจะเอาเรื่องเอาราวว่านี่มันพุทธไม่แท้ พุทธลูกผสม จะทำให้พุทธศาสนาเสื่อม

ฉันก็เห็นเราอยู่แบบ hybrid กันมาแบบนี้

และยิ่งเพิ่มพลัง hybrid รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โปรดักต์ว่าด้วยการทำบุญ สะเดาะเคราะห์ ก็ทันสมัย เป็นระบบ มีการจัดการที่ดีขึ้น

จะว่าไม่มีใครว่าอะไรเลยก็คงไม่ใช่โดยสิ้นเชิง ก็พุทธสายปัญญาชน ที่นับถือแนวทางของพุทธทาส หรือพุทธสายวัดป่า พุทธสายพระปัญญาชน ก็มักจะบ่นว่า ศาสนาพุทธเสื่อม พระสงฆ์หละหลวม พระเป็นเกย์ พระกินเหล้า พระมั่วสีกา พระบริหารจัดการเงินไม่โปร่งใส พระไม่มีรสนิยมในการจัดการภูมิทัศน์ของวัดให้สวยงาม

เนื่องจากพุทธปัญญาชนเหล่านี้ บางทีก็มีจิตวิญญาณคล้ายๆ ฮิตเลอร์ คือมีความปรารถนาที่จะเห็นทุกอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้การปนเปื้อน แล้วชอบทึกทักเอาเองว่า ความรู้ของตน ความดีของตนคือบรรทัดฐานสำหรับทุกคนในโลกนี้

ชั้นอ่านพระไตรปิฎก ชั้นศึกษาปรัชญาศาสนาพุทธ ชั้นไปสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ที่เจ๋งๆ มาแล้ว เพราะฉะนั้น ชั้นรู้ว่าพุทธที่แท้ต้องเป็นยังไง

ไม่เพียงเท่านั้น พุทธปัญญาชนของไทยก็จะมีภาพพระสงฆ์ในอุดมคติ เช่น สมถะ เรียบง่าย เคร่งครัดในวัตรปฏิบัติ จากนั้นก็รู้สึกอยากเสกให้พระทุกรูปเป็นเหมือนพระในอุดมคติของตนเอง

และคนเหล่านี้จะเร่าร้อนทุรนทุรายมากที่อะไรๆ ก็แปดเปื้อน ไม่ผุดผ่องอย่างที่มันควรจะเป็นในอุดมคติ

สมมุติมีคดีเรื่อง พระข่มขืนเด็กชาย แทนที่จะมองเห็นปัญหาสิทธิเด็กถูกละเมิดก่อน พวกเขาจะเห็นปัญหาความเสื่อมของพระพุทธศาสนาก่อน

คือห่วงพุทธศาสนาจะแปดเปื้อนมากกว่าห่วงเรื่องสิทธิเด็ก และที่อยากช่วยเด็กก็ไม่ได้คิดเรื่องสิทธิอะไร แต่คิดว่าเด็กน่าสงสาร ถูกกระทำ วิญญาณแบบ “สงเคราะห์” ก็มาเต็ม

เมื่อเป็นเช่นนี้ พุทธปัญญาชนไทยหรือพุทธ “ติดดี” ของไทยทั้งหลายก็จะหมกมุ่นหนักมากกว่าจะชำระ “พุทธศาสนา” ในไทยอย่างไรดีให้ผุดผ่องที่สุด ต้องลงโทษพระให้หนักไหม? ต้องกวาดล้างจับสึกให้หมดไหม? ต้องสืบประวัติก่อนบวชให้เป๊ะก่อนไหม?

(ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ฝืนธรรมชาติมากๆ หากเราคิดว่าธรรมชาติคือความหลากหลาย แต่พุทธปัญญาชนไทยกลับคิดถึงความถูกต้องและความจริงเพียงชุดเดียว เบ็ดเสร็จ เด็ดขาด และเป็นหนึ่งเดียวในรสนิยมของตนเองเสียด้วย คือ แม่งโคตรเห็นแก่ตัว)

ทั้งๆ ที่ปัญหาของศาสนาพุทธของไทยอยู่ตรงที่เราไม่ยอมปล่อยให้รัฐไทยเป็นรัฐโลกวิสัย หรือ secular state เสียที

ถ้าเราปล่อยศาสนาออกจากรัฐ องค์กรศาสนาก็เป็นมูลนิธที่แต่ละแห่ง แต่ละนิกายก็ไปบริหารจัดการกันเอง จ่ายภาษี มีระบบบัญชีที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายพลเรือนไปตามปกติ คำว่าเอาศาสนาออกจากรัฐ ยังหมายถึง เอาศาสนาออกจาก “รัฐพิธี” ทั้งหมด เพื่อไม่เป็นการแสดงความสนับสนุนศาสนาใดศาสนาหนึ่ง เพราะรัฐต้องเป็นกลางทางศาสนา หรือถ้าจะมีก็ต้องมีให้ครบ ในระดับที่เท่าเทียมกันด้วย

เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ไม่ต้องไปสนใจว่าใครจะบิดเบือนหรือไม่บิดเบือน เพราะเราทุกคนก็เกิดมาในยุคที่พระพุทธเจ้าก็ลาจากโลกใบนี้ไปตั้งสองพันกว่าปีแล้ว

ใครอยากไฮบริดศาสนาอะไรกับศาสนาอะไรก็ปล่อยเขา ตราบเท่าที่ไม่ทำอะไรผิดกฎหมาย เพราะที่เที่ยวไปบอกคนอื่นว่า บิดเบือนๆ เนี่ยะ คนพูดเอาอะไรมาเป็น reference

แล้วรู้ได้ไงว่า reference ของตัวเองมัน “จริง” ที่สุด? ไม่บิดเบือนที่สุด

พระไพศาล พระ ว.วชิรเมธี ที่บอกว่าธรรมกายบิดเบือนพุทธ ท่านทั้งสองรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งที่ท่านยึดถือและเชื่อ คือสิ่งที่เหมือนกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสเมื่อสองพันปีที่แล้ว?

หรือท่านทั้งสองคือผู้ถืออำนาจในการสถาปนาความ “แท้” ให้กับพุทธ?

ท่านจึงกล้าบอกว่าของคนอื่นไม่แท้?

ท่านรู้ได้อย่างไรว่ามีแต่ท่านที่อยู่ใกล้กับความแท้ของคำสอนของพระพุทธเจ้ามากที่สุด?

ไม่ได้แปลว่า เราวิจารณ์คำสอนของธรรมกายไม่ได้

แต่การวิจารณ์นั้นต้องรัดกุมกว่าการใช้วาทกรรมว่า “ธรรมกายบิดเบือนพุทธศาสนา”

อย่างน้อยท่านต้องนิยามให้ชัดเจนว่า หลักพุทธศาสนาของท่าน เป็นพุทธสายไหน มีประวัติศาสตร์มาอย่างไร ถูกชำระ ขัดเกลาตีความจากปราชญ์ท่านใดบ้าง

คำสอนพุทธที่ท่านนับถือมีพัฒนาการคลี่คลายมาอย่างไร เหตุใดท่านจึงอยากใช้หลักนี้ในการเทียบเคียงว่า คำสอนของธรรมกายไม่ถูกต้อง ไม่สอดคล้องกับหลักพุทธที่ท่านนับถือ มีอะไรที่ไม่เห็นด้วย หรืออะไรที่คิดว่าเป็นพิษเป็นภัยเพราะเหตุใด

มากกว่าจะไปบอกว่าคนอื่นเป็นพุทธปลอม

สิ่งที่ท่านควรจะทำคือการ clarify พุทธของตนเองในฐานะที่เป็น school หนึ่งในหลายๆ school ของพุทธศาสนาในโลก เมื่อ clarify แบบนี้แล้ว จะได้ไม่อุตริคิดว่าพุทธของตัวเองแท้อยู่คนเดียว

 

ถ้าไม่อุตริคิดว่าพุทธแท้ต้องมีหนึ่งเดียว (คือแบบที่กูรู้จักกับ แบบที่กูชอบ) และศาสนาไม่เกี่ยวอะไรกับรัฐ หน้าที่ของรัฐมีแค่ให้ทุกมูลนิธิเหล่านี้มาขึ้นทะเบียนกับรัฐ ใครจะเป็นศาสนา ใครเป็นแค่ลัทธิ การขึ้นทะเบียนกับรัฐ ก็เท่ากับรัฐมีข้อมูลของศาสนา ลัทธิ ความเชื่อเหล่านี้อยู่ในมือ เผื่อมีอะไรเกิดขึ้นก็จะได้จัดการไปตามกฎหมาย

จดทะเบียนไปแล้ว จะมีตั้งแต่ อ.อุบล ไปจนถึงธรรมกาย ถึงอโศก ถึงไหนถึงไหน ก็เปิดไว้เป็นทางเลือกให้คนมารับ มาเชื่อ มาศรัทธาไปตามรสนิยม ไม่มีใครบังคับใครมาให้เชื่อ ศาสนาไหนใช้การบังคับ ข่มขู่ รีดไถ ก็แจ้งความจับมีความผิดตามกฎหมายอาญาไป

ศาสนา ศรัทธาเป็น “ทางเลือก” ของชีวิต แต่ไม่ใช่สิ่งที่ “ไม่มีไม่ได้” แต่ชาวไทยมักคิดว่า ศาสนาคือ a must ใครไม่มีศาสนานี่ดูเหมือนจะไม่เป็นคน

แต่ฉันอยากจะยืนยันว่า ศาสนาเป็นสิทธิ เป็นทางเลือก ใครใคร่มี มี ใครใคร่เชื่อ เชื่อ จะเชื่อแบบขึ้นเขาลงห้วย พิสดาร ห้อยพระห้าร้อยองค์รอบคอก็ไม่มีใครว่า แต่ไม่ใช่สิ่งที่จะขาดเสียไม่ได้

สิ่งที่จะขาดเสียไม่ได้สำหรับชีวิตมนุษย์ คือ ศักดิ์ศรี เสรีภาพ สิทธิของมนุษย์ที่มนุษย์พึง “ผลิต” ได้ด้วยตนเอง และมอบให้ตนเองได้โดยไม่มี “อำนาจ” ใดมาขวางกั้น

ดังนั้น ภารกิจหนึ่งแห่งความเป็นมนุษย์คือ การพยายามทำลาย “อำนาจ” ที่เป็นอุปสรรคของมนุษย์ในการตระหนักถึงศักดิ์ศรีที่ติดตัวมาแต่กำเนิดของตนเอง หรืออีกนัยหนึ่งคือการปลดปล่อย (liberate) ตนเองออกจากอำนาจครอบงำทั้งปวงรวมทั้งอำนาจของศาสนา