ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มกราคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | คนมองหนัง |
ผู้เขียน | คนมองหนัง |
เผยแพร่ |
เมื่อเข้าสู่ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านจากปีเก่ามายังปีใหม่ ก็มักเป็นเรื่องปกติ ที่คอลัมน์แนวหนัง-เพลง-ละครทั้งหลาย จะจัดอันดับผลงานทางวัฒนธรรมแห่งปีตามทัศนะของคอลัมนิสต์แต่ละราย ทั้งเพื่อเป็นคู่มือประจำปีให้แก่ผู้อ่าน/ผู้ชม และเพื่อเป็นการทบทวนความคิด-รสนิยมของตัวผู้เขียนเอง
ในโอกาสของการก้าวเข้าสู่ พ.ศ.2563 พื้นที่คอลัมน์นี้จึงขออนุญาตประมวลหนังต่างประเทศเด่นๆ จำนวน 7 เรื่อง ซึ่งเคยเข้าฉายในเมืองไทยตลอดปี 2562 ที่ผ่านมา
มานำเสนอ ดังต่อไปนี้
Parasite (บงจุนโฮ)
หนังจากเกาหลีใต้ที่มีชื่อไทยว่า “ชนชั้นปรสิต” ประสบความสำเร็จอย่างสูงด้านรายได้ จากการออกตระเวนฉายเชิงพาณิชย์ในหลายประเทศทั่วโลก
ผลงานเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ดราม่าครบรส ที่ดูง่ายและมีรสชาติจัดจ้านไม่ต่างจากละครหลังข่าวบ้านเรา พร้อมกันนั้น หนังยังฉายภาพความแตกต่าง-ขัดแย้งทางชนชั้น ผ่านมิติทางด้านสัญลักษณ์, พื้นที่ และสถาปัตยกรรม ออกมาได้อย่างเข้มข้น คมคาย แพรวพราว สนุกสนาน สะเทือนอารมณ์
“Parasite” เปิดตัวต่อชาวโลกด้วยการคว้ารางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ มาถึงต้นปีนี้ หลายๆ ฝ่ายเชื่อและแอบลุ้นว่าหนังอาจไปได้ไกลกว่าการคว้ารางวัลภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์
Midsommar (อารี แอสเตอร์)
ภายใต้ฉากหน้าที่เป็นภาพยนตร์สยองขวัญ จุดน่าสนใจอีกหนึ่งประการของหนังเรื่องนี้ คือ การมีตัวละครนำที่เป็น “นักเรียนมานุษยวิทยาอเมริกัน” ที่เดินทางพร้อมผองเพื่อนเข้าไปท่องเที่ยว/ศึกษาเทศกาลเฉลิมฉลอง-ลัทธิพิธีของชุมชนทางเลือกแห่งหนึ่งในสแกนดิเนเวีย
หนังสยองขวัญของอารี แอสเตอร์ จึงมีความลุ่มลึกกว่าหนังในตระกูลเดียวกันส่วนใหญ่ ผ่านการชวนผู้ชมครุ่นคิดถกเถียงในประเด็นว่าด้วยเทศกาล-พิธีกรรม-ตำนานปรัมปรา-แนวคิดเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรม กระทั่งแทบจะกลายเป็นชั้นเรียนวิชามานุษยวิทยาเบื้องต้น
หนังปิดฉากลงด้วยการที่ “คนนอก” ค่อยๆ กลายสภาพเป็น “คนใน” ทั้งในฐานะ “เหยื่อบูชายัญ” และ “สัญลักษณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์-อุดมสมบูรณ์”
John Wick : Chapter 3 – Parabellum (แชด สตาเฮลสกี)
นี่คือหนัง “นักฆ่า” ที่ไม่ได้อัดแน่นด้วยการ “ฆ่าเอามัน”
หลายคนอาจรู้สึกว่า “จักรวาลนักฆ่า” อันมีระบบ-สายบังคับบัญชาสุดสลับซับซ้อนใน “John Wick” นั้นมีความละม้ายคล้ายคลึงกับ “ยุทธจักร/ยุทธภพ” ในนิยายกำลังภายใน
ขณะเดียวกัน หนังก็พยายามเน้นย้ำว่าแทบทุก “ความรุนแรง” ในเรื่อง ล้วนมี “ความหมาย/สายสัมพันธ์ทางสังคม” ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลัง
ไล่ตั้งแต่สัญญาประชาคม, การแลกเปลี่ยนของขวัญ, ลำดับชั้นภายในองค์กร/สถาบัน
รวมถึงความทรงจำของปัจเจกบุคคล
Joker (ท็อดด์ ฟิลลิปส์)
ภาพยนตร์แนว “แอนตี้ฮีโร่” ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในปีก่อน
ทั้งยังถูกหลายคนอ่าน/เพิ่งพินิจพิจารณาในฐานะ “ภาพยนตร์ (ไม่) การเมือง”
ตามความคิดเห็นส่วนตัว ผมมองว่า “Joker” ฉบับนี้พยายามจะวิพากษ์รูปแบบการชุมนุมทางการเมืองที่มีลักษณะเป็น “เฟสติวัล/คาร์นิวัล” อันทรงอิทธิพลอย่างสูงในหมู่นักกิจกรรม/นักเคลื่อนไหวทางสังคมตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
The Favorite (ยอร์กอส ลันธิมอส)
ด้านหนึ่ง นี่คือหนังแนวตบตีชิงดีชิงเด่นที่เข้มข้นแสบสัน
อีกด้านหนึ่ง หนังก็ซ่อนประเด็นชวนขบคิดไว้มากมาย เช่น การมีชีวิต 2 มิติ/สถานภาพของประมุขแห่งรัฐ
มิติแรก คือ การมีชีวิตส่วนตัว/ร่างกายอันป่วยไข้เสื่อมทรุด
มิติที่สอง คือ การต้องดำรงตนท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงสำคัญทางการเมือง
และดุลอำนาจอันหลากหลาย
Glass (เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน)
ภาพยนตร์ที่กล่าวถึงพลังอำนาจของเรื่องเล่า (หนังสือการ์ตูน)
และปฏิสัมพันธ์ระหว่างอำนาจดังกล่าวกับเงื่อนไข/บริบททางประวัติศาสตร์
หนังสาธิตให้เห็นว่า เรื่องเล่า/การ์ตูน สามารถกำหนดประวัติศาสตร์ได้อย่างไร
เช่นเดียวกับที่บริบททางประวัติศาสตร์อันพลิกผัน สามารถจะเปลี่ยนแปลงเรื่องเล่า/การ์ตูนได้ในทางกลับกัน
Once Upon a Time in Hollywood (เควนติน แทแรนติโน)
แทแรนติโนยังคงทำ “หนังประวัติศาสตร์” ผ่านกระบวนการ “ปลอมแปลงประวัติศาสตร์” ในลักษณะ “ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง” ได้อย่างอยู่มือ
แม้หนังเรื่องล่าสุดนี้จะไม่ได้มีความโหด มัน ฮา ระดับเดียวกับหนังเรื่องอื่นๆ ในแนวทางเดียวกันของเขา
แต่ “Once Upon a Time in Hollywood” ก็นำเอาอารมณ์โหยหารำลึกถึงอดีตอันเรืองรองของฮอลลีวู้ด มาจัดวางคู่เคียงกับการทำลาย-ชำระล้าง “ความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์” บางประการ
ได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว