ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 ธันวาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | ยุทธบทความ |
ผู้เขียน | ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข |
เผยแพร่ |
“เหตุการณ์ที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญที่สุดของการพังทลายของระเบียบโลกเก่าก็คือ การเปิดกำแพงเบอร์ลินในวันที่ 9 พฤศจิกายน [1989]… เมื่อกำแพงพังลง การแบ่งยุโรปตะวันตก-ตะวันออกก็จบลงด้วย”
Robert J. McMahon, 2003
ในวันที่ 30 เมษายน 1945 ฮิตเลอร์ตัดสินใจปลิดชีพตัวเองในบังเกอร์
และในวันที่ 2 พฤษภาคม เบอร์ลินก็ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของกองทัพโซเวียต
ต่อมาอีกหกวัน สงครามในยุโรปจึงจบลง (The VE Day)
แต่มิได้หมายความว่าสงครามในเวทีโลกจะสิ้นสุดลงไปด้วย
หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยสงครามชุดใหม่
และปฏิเสธไม่ได้ว่าสงครามใหม่นี้มีจุดเริ่มต้นที่เยอรมนี และมีจุดเริ่มสำคัญที่เบอร์ลิน
อีก 44 ปีต่อมา เหตุการณ์จากสงครามโลกครั้งที่ 2 ปิดฉากลงจริงๆ ที่เยอรมนี และจบลงที่เบอร์ลินในวันที่ 9 พฤศจิกายน 1989 นับเป็นปรากฏการณ์สำคัญของการเมืองระหว่างประเทศ ที่ไม่ได้ส่งผลกระทบกับการเมืองยุโรปเท่านั้น เนื่องจากประเด็นการรวมชาติของเยอรมนีที่ตกค้างมาตั้งแต่การสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นประเด็นที่หลายคนแทบไม่เชื่อว่าจะเป็นความจริงได้ในยุคสมัยของตน
และหากจะมีโอกาสเป็นจริงได้ก็คงจะต้องทอดเวลาออกไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจของโลกจะเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญในปี 1989
เยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน หรืออีกนัยหนึ่งประเทศถูกควบคุมโดยรัฐมหาอำนาจผู้ชนะสงครามทั้งสี่ และประเทศอยู่ภายใต้อำนาจการบริหารของฝ่ายตะวันตกและฝ่ายตะวันออก
การแบ่งเช่นนี้เกิดในระดับย่อยลงมาถึงตัวเมืองหลวง
กล่าวคือ เบอร์ลินก็ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนเช่นกัน
ดังนั้น จึงไม่แปลกนักที่ “ปัญหาเยอรมนี” จะเป็นประเด็นสำคัญของการเมืองโลกในยุคนั้น
สงครามของอภิมหาอำนาจ
การแบ่งเยอรมนีหลังสงครามเกิดขึ้นด้วยวัตถุประสงค์เบื้องต้น 3 ประการ คือ เพื่อดำเนินการปลดอาวุธของกองทัพเยอรมนี (Demilitarization) เพื่อทำลายอิทธิพลของนาซี (Denazification) และการดำเนินการในสองส่วนนี้สุดท้ายแล้วเป็นความหวังว่าจะก่อให้เกิดปัจจัยที่สามคือ กระบวนการสร้างประชาธิปไตย (Democratization)
เพราะสำหรับรัฐมหาอำนาจตะวันตกแล้ว การฟื้นเยอรมนีให้เป็นประชาธิปไตยจะเป็นหนทางสำคัญที่จะไม่ทำให้ประเทศนี้กลายเป็นภัยคุกคามทางทหารของยุโรปในอนาคต
ทั้งยังจะต้องให้ความช่วยเหลือเพื่อให้เกิดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ (ได้แก่ ความช่วยเหลือตามแผนการมาร์แชล-The Marshal Plan) และใช้เศรษฐกิจแบบเสรีเป็นทิศทางของประเทศ
เยอรมนีอยู่ในสถานะ “รัฐผู้แพ้สงคราม” ต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐมหาอำนาจสี่ฝ่าย คือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส และสหภาพโซเวียต
แต่หากแบ่งตามชุดของอุดมการณ์การเมืองแล้ว สามารถแยกเป็น 2 ค่ายทางการเมือง
คือ ฝ่ายตะวันตกและฝ่ายตะวันออก
และการแบ่งโลกออกเป็นสองค่ายทางอุดมการณ์การเมืองและเศรษฐกิจ ตลอดรวมถึงการแข่งขันระหว่างสองค่ายเช่นนี้ ในเวลาต่อมาได้กลายเป็นพื้นฐานสำคัญรองรับต่อการกำเนิดของ “ระเบียบใหม่” หลังสงคราม
แต่พฤติกรรมของรัฐมหาอำนาจในระเบียบใหม่นี้ถูกจำกัดจากการมีอาวุธนิวเคลียร์
กล่าวคือ สหรัฐมีอาวุธนิวเคลียร์ในปี 1945 และสหภาพโซเวียตมีในปี 1949
ซึ่งการมีอาวุธนิวเคลียร์เช่นนี้ทำให้รัฐมหาอำนาจทั้งสองไม่สามารถทำสงครามระหว่างกันได้ในแบบของ “สงครามเบ็ดเสร็จ” เช่นในสงครามโลกทั้งสองครั้ง
เพราะหากสงครามระหว่างสหรัฐกับสหภาพโซเวียตเกิดขึ้นจริง การต่อสู้จะไม่ใช่เพียงสงครามโลกครั้งที่ 3 เท่านั้น หากแต่อาจจะกลายเป็น “สงครามนิวเคลียร์ล้างโลก” ได้ด้วย
สภาวะเช่นนี้มีนัยอีกว่าทั้งสองประเทศมีสถานะมากกว่ารัฐมหาอำนาจในแบบเดิม คือเป็น “อภิมหาอำนาจ”
การแข่งขันที่เกิดขึ้นระหว่าง “อภิมหาอำนาจนิวเคลียร์” (The Nuclear Superpowers) ส่งผลโดยตรงให้เกิดสภาวะในการเมืองระหว่างประเทศที่ถูกเรียกว่า “สงครามเย็น” (The Cold War) และสงครามนี้มีนัยหมายถึงความขัดแย้งระหว่างค่ายตะวันตก-ตะวันออก (The East-West Conflict)
ผลของการแข่งขันทางการเมืองดังกล่าวทำให้เยอรมนีถูกแยกเป็นเยอรมนีตะวันตกและเยอรมนีตะวันออก
ยิ่งกว่านั้น เบอร์ลินซึ่งเป็นเมืองหลวงก็ถูกแบ่งออกเป็นเบอร์ลินตะวันตกและเบอร์ลินตะวันออก
การแบ่งเบอร์ลินและเยอรมนีออกเป็นสองส่วนกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของการเมืองระหว่างประเทศในยุคสงครามเย็น (ไม่แตกต่างจากกรณีเกาหลีและเวียดนามในเอเชีย)
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในโลกของสงครามเย็นที่มีการแบ่งพื้นที่เป็นสองส่วนระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออกนั้น การแบ่งเมืองของเบอร์ลินมีนัยกับความเป็นไปของโลกในยุคสงครามเย็นอย่างมาก
จนอาจกล่าวได้ว่าเบอร์ลินเป็นทั้งภาพสะท้อนของปัญหา ขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในศูนย์กลางของความขัดแย้งด้วย
หรืออาจเรียกสถานะของเบอร์ลินในทางภูมิรัฐศาสตร์ว่าเป็น “เมืองที่ถูกแบ่งแยกในประเทศที่ถูกแบ่งแยก” (divided city within a divided nation) และเป็นเมืองเดียวในเวทีโลกที่มีลักษณะทางการเมืองเช่นนี้
หรืออาจกล่าวได้ว่าเบอร์ลินคือ “อัตลักษณ์ของสงครามเย็น”…
คิดถึงสงครามเย็น ต้องคิดถึงเบอร์ลิน
จากวิกฤต…สู่วิกฤต
บททดสอบในช่วงต้นของสงครามเย็นเริ่มขึ้นในเดือนมิถุนายน 1948 เมื่อผู้นำโซเวียตตัดสินใจปิดล้อมเบอร์ลิน (The Berlin Blockade) ซึ่งถือเป็นการวัดขีดความสามารถของฝ่ายตะวันตกในการคุ้มครองทั้งเบอร์ลินตะวันตกและเยอรมนีตะวันตก
การปิดล้อมยาวจนถึงเดือนพฤษภาคม 1949 ฝ่ายตะวันตกตอบโต้ด้วยการขนส่งทางอากาศตลอดเวลาเพื่อไม่ให้เบอร์ลินถูกบีบ จนต้องยอมจำนน
การขนส่งนี้ (The Berlin Airlift) กลายเป็นทางออกที่ทำให้โซเวียตไม่ประสบความสําเร็จ และปฏิบัติการทางอากาศครั้งนี้ได้รับการยกย่องอย่างมากที่ทำให้เบอร์ลินตะวันตกอยู่รอดได้
ในขณะเดียวกันผลจากการแบ่งเยอรมนีออกเป็นสองส่วน ทำให้คนจากฝั่งตะวันออกตัดสินใจหนีออกจากประเทศเป็นจำนวนมาก จนผู้นำโซเวียตตัดสินใจหยุดการหนีของผู้คนออกจากฝั่งตะวันออก โดยในวันที่ 13 สิงหาคม 1961 แนวลวดหนามจึงเริ่มถูกจัดวางเพื่อแบ่งเบอร์ลินระหว่างเขตของตะวันตกกับส่วนของโซเวียต
ต่อมาก็ปรับเป็นแท่งคอนกรีต และยกระดับขึ้นอีกเป็นแนวกำแพงที่แข็งแรง
การเริ่มสร้างแนวกีดขวางจนกลายเป็นกำแพงในปี 1961 ทำให้เบอร์ลินกลายเป็นจุดวิกฤตของโลกอีกครั้ง (The Berlin Crisis 1961)…
ปัญหาความขัดแย้งของโลกยังคงมีเบอร์ลินเป็นองค์ประกอบสำคัญเสมอ
ดังนั้น เพื่อยืนยันถึงพันธกรณีด้านความมั่นคงและแสดงให้เห็นถึงการให้ความสําคัญของผู้นำสหรัฐต่อปัญหาเยอรมนี ประธานาธิบดีเคนเนดี้จึงเดินทางเยือนเบอร์ลินในเดือนมิถุนายน 1963 และแสดงสุนทรพจน์ที่กำแพงเบอร์ลินท่ามกลางประชาชนชาวเยอรมันที่ให้การต้อนรับเป็นจำนวนมาก
เขากล่าวว่า “…ในฐานะเสรีชน ข้าพเจ้าภูมิใจในคำว่า ข้าพเจ้าเป็นชาวเบอร์ลิน (Ich bin ein Berliner)” แล้วคำพูดนี้ได้กลายเป็นวลีทองของยุคสงครามเย็นไปทันที และเป็นคำยืนยันว่าสหรัฐจะไม่ทิ้งเบอร์ลินที่กำลังถูกปิดด้วยกำแพง เสมือนกับการปิดล้อมเบอร์ลินอีกแบบ (หลังจากการปิดล้อมครั้งแรกในปี 1948)
กำแพงเบอร์ลินประสบความสำเร็จในการกีดขวางการหลบหนีของผู้คนออกจากฝั่งตะวันออกได้จริงอย่างที่ผู้นำโซเวียตคิด
แม้จะไม่สามารถปิดกั้นได้ทั้งหมดก็ตาม
แน่นอนว่ามีผู้ที่ตัดสินใจหลบหนีเพื่อแสวงหาเสรีภาพหลายคนที่ทิ้งชีวิตไว้ที่กำแพงนี้ ในปีแรกของการมีกำแพงนั้น มีผู้เสียชีวิตถูกยิงเสียชีวิตที่แนวกำแพงมากถึง 41 คน
และหากกล่าวด้วยสำนวนของนายกรัฐมนตรีเชอร์ชิล ที่เปรียบเทียบการขยายอิทธิพลของโซเวียตในการควบคุมยุโรปตะวันออกในช่วงสงครามเย็นว่า เป็นดังการสร้าง “ม่านเหล็ก” (The Iron Curtain) เพื่อปิดไม่ให้คนหนีออกจากประเทศคอมมิวนิสต์
ฉะนั้น คงไม่ผิดนักในกรณีนี้ที่จะกล่าวว่า กำแพงเบอร์ลินจึงเป็นดัง “ม่านเหล็กที่แข็งแรงที่สุด” ในการปิดกั้นการหลบหนีดังกล่าว
ในช่วงกลางทศวรรษ 1960 เศรษฐกิจของเยอรมนีตะวันออกขยับตัวดีขึ้น การหลบหนีของผู้คนจึงเริ่มลดลง
เป็นที่ยอมรับกันว่าคุณภาพชีวิตในเบอร์ลินตะวันออกดีที่สุดในยุโรปตะวันออก ผู้นำโซเวียตจึงพยายามแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ได้ อันจะเป็นปัจจัยที่ดึงผู้คนไม่ให้หนีออกจากประเทศ ผลจากสภาพเช่นนี้ทำให้ปัญหาเบอร์ลินค่อยๆ ลดความตึงเครียดลง
คงต้องยอมรับว่าการตัดสินใจเสี่ยงชีวิตหนีออกจากค่ายคอมมิวนิสต์ มิได้แต่แสวงหาเสรีภาพเท่านั้น
หากแต่มีนัยของการแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าในทางเศรษฐกิจด้วย
แต่กระนั้นกำแพงเบอร์ลินยังคงทำหน้าที่สำคัญในการแบ่งโลกเป็นสองส่วนไม่ต่างจากเดิม เช่นเดียวกับ “ม่านเหล็ก” ของโซเวียตที่โรยตัวปิดยุโรปตะวันออกไว้ก็ไม่เคยขยับขึ้น
จุดเปลี่ยน
ความเปลี่ยนแปลงสำคัญเริ่มปรากฏให้เห็นในโปแลนด์ เมื่อขบวนการโซลิดาริตี้ (The Solidarity Movement) ชนะการเลือกตั้งในเดือนมิถุนายน 1989 และทำการจัดตั้งรัฐบาลในเดือนถัดมา
เป็นครั้งแรกที่เกิดรัฐบาลที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศ
แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเป็นรัฐบาลแรกของยุโรปตะวันออกที่ไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์
และในเหตุการณ์ครั้งนี้ โซเวียตไม่ได้ส่งกำลังรถถังเข้าปราบปรามเช่นกรณีในอดีตของโปแลนด์ ฮังการี และเชโกสโลวะเกีย…
หรือว่าทั้งหมดนี้คือคำตอบว่าอำนาจของโซเวียตในยุโรปตะวันออกกำลังเดินมาถึงจุดเปลี่ยนแล้ว
จนกระทั่งในที่สุดระบอบคอมมิวนิสต์ในเยอรมนีตะวันออกเริ่มประสบความล้มเหลวในทางเศรษฐกิจอย่างมาก และผู้คนเป็นจำนวนมากเริ่มหนีผ่านฮังการีและออสเตรียเพื่อมาหางานในเยอรมีนตะวันตกในตอนกลางปี 1989
สัญญาณนี้ถูกตีความทันทีว่า ม่านเหล็กที่โซเวียตควบคุมไว้อย่างเข้มงวดกำลังค่อยๆ เปิดออกแล้ว
และในเวลาต่อมาระบอบการปกครองของเยอรมนีตะวันออกก็เดินมาถึงจุดสุดท้าย และล้มลงในวันที่ 9 พฤศจิกายน 1989
อันนำไปสู่การผ่านแดนอย่างเสรีที่กำแพงเบอร์ลิน ขณะเดียวกันผู้นำเยอรมนีตะวันตกประกาศเรียกร้องให้มีการรวมชาติ แล้วโมเมนตัมของสถานการณ์ก็เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว…
ม่านเหล็กถูกทลายลงแล้วที่โปแลนด์ และพังทลายตามมาที่เยอรมนี จนถึงจุดนี้ กำแพงเบอร์ลินก็สิ้นสุดภารกิจไปทันที
เช้าวันที่ 10 พฤศจิกายน 1989 โลกได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เมื่อจุดผ่านแดนที่กำแพงเบอร์ลินเปิดอย่างเสรีแล้ว
ชาวเยอรมันเดินข้ามโดยไม่มีการตรวจตรา และสำหรับคนจากฝั่งตะวันออกแล้ว พวกเขาข้ามแดนอย่างเสรีโดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกทหารรักษาการณ์ยิงเสียชีวิตเช่นในอดีต…
ปัญหาเยอรมนีที่ตกค้างจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงด้วยการรวมชาติ
เช่นเดียวกับปัญหาของกำแพงเบอร์ลินก็จบลงด้วย
และผลตามมาที่ใหญ่กว่านั้นคือ สงครามเย็นก็จบตามไปด้วยเช่นกัน ในเดือนธันวาคม ผู้นำสองอภิมหาอำนาจประกาศการสิ้นสุดของสงครามนี้
และสัญลักษณ์ที่สำคัญอีกประการในเดือนเดียวกันนี้คือ นายกรัฐมนตรีเยอรมนีตะวันตกเดินทางเยือนเยอรมนีตะวันออก
ระเบียบใหม่?
การสิ้นสุดของสงครามเย็นทำให้โลกก้าวสู่ยุคใหม่ หรือที่เรียกโดยทั่วไปว่า “ยุคหลังสงครามเย็น” (The Post-Cold War Era) สำหรับบางคนแล้ว นี่คือการเริ่มต้นของ “ระเบียบโลกใหม่” (The New World Order) ที่เป็นความหวังว่าโลกจะมีสันติภาพมากขึ้น เช่นเดียวกับที่หวังว่าสงครามจะจากหายไป
แต่ประวัติศาสตร์การเมืองโลกมีข้อเตือนใจเสมอว่า ระเบียบเก่าพาสงครามเก่าสิ้นสุดไปเช่นไร ระเบียบใหม่ก็พาสงครามใหม่มาเยือนเช่นนั้น
พร้อมกับนำสถานการณ์ชุดใหม่มาด้วย เช่น การล่มสลายของระบอบสังคมนิยมในโซเวียต
การปฏิวัติอย่างสันติและการสิ้นสุดของระบอบคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก
การแตกสลายของยูโกสลาเวียและตามมาด้วยปัญหาสงครามชาติพันธุ์
ในอีกซีกหนึ่งของโลกอิรักบุกยึดครองคูเวต และกลายเป็นสงครามอ่าวเปอร์เซีย
ในเวลาต่อมาสหรัฐเผชิญกับการก่อการร้ายใหญ่ในปี 2001 ตามมาด้วยสงครามอัฟกานิสถาน และต่อมาด้วยสงครามอิรัก
นอกจากนี้ โลกยังเผชิญกับการก่อการร้ายชุดใหม่ ที่ขยายตัวในส่วนต่างๆ ของโลกภายใต้ร่มธงดำของกลุ่มรัฐอิสลาม และขณะเดียวกันก็เห็นถึงสงครามกลางเมืองในซีเรียและเยเมน ในอีกด้านที่อาวุธนิวเคลียร์ลดความสำคัญลงหลังการสิ้นสุดของสงครามเย็น
แต่การพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือยังคงเป็นปัญหาสำคัญในเวทีโลก และในมุมที่แตกต่างกันกับการรวมชาติของเยอรมนีเมื่อ 30 ปีที่แล้ว เส้นสงครามเย็นที่แบ่งคาบสมุทรเกาหลียังคงความแข็งแรงไม่ต่างจากอดีต
ทั้งหมดนี้คือระเบียบใหม่หลังสงครามเย็น อาจจะโหดร้ายและยุ่งยากมากกว่าที่เราคิด!