วางบิล/เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์/ เมื่อโจทก์เป็นวิศวกรซักความเอง

ปิยะ อังกินันทน์

วางบิล/เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์

เมื่อโจทก์เป็นวิศวกรซักความเอง

 

เหตุเพราะ “คดีหมิ่นประมาท” เป็นคดีอาญา และเป็นคดีลหุโทษ ที่ยอมความได้ ทั้งยังเป็นคดีอาญาที่มีโทษปรับและโทษจำคุกอยู่ในอำนาจศาลแขวง ต้องฟ้องในท้องที่ตั้งของศาลแขวงที่เกิดเหตุ

การดำเนินคดีอาญาประเภทลหุโทษ โจทก์มอบหมายผู้แทนไปดำเนินการได้ 2 ทาง คือแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าพนักงานสอบสวน ให้ฝ่ายรัฐเป็นผู้ดำเนินคดี เมื่อตำรวจรับแจ้งความ ผู้ถูกกล่าวหาไปแก้ข้อกล่าวหา แล้วส่งอัยการเพื่อส่งฟ้องศาล อีกกรณีหนึ่ง คือโจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีเอง ต้องฟ้องร้องต่อศาล

ทั้งสองกรณีโจทก์ให้ผู้แทนดำเนินการแทนได้ เช่นเดียวกับผู้ถูกกล่าวหามอบหมายให้ผู้แทนได้เช่นกัน

เมื่อถึงขั้นตอนการกล่าวหา และแก้ข้อกล่าวหา ตัวผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหาต้องไปด้วยตัวเอง

โดยเฉพาะการดำเนินคดีด้วยตัวเอง ฝ่ายฟ้องคือโจทก์ และฝ่ายผู้ถูกฟ้องร้อง ต้องไปให้การชั้นศาลด้วยตัวเอง ทั้งโจทก์และจำเลย หลังจากนั้น จำเลยขออนุญาตศาลด้วยเหตุผลว่า จำเลยต้องปฏิบัติหน้าที่อื่น จึงไม่สามารถมารับฟังคำให้การได้ทุกนัด ทั้งมีทนายความซึ่งได้มอบหมายให้เป็นผู้แทนทำการแทนได้ทุกอย่างแทนจำเลยอยู่แล้ว จึงขอไม่ต้องมาฟังคำให้การ

ซึ่งศาลจะอนุญาต และให้ประกันตัวจำเลย

 

การฟ้องคดีหมิ่นประมาทของ “เจ้าพ่อเมืองเพชร” – ปิยะ “พี่แป๋ง” อังกินันทน์ เป็นการฟ้องบรรณาธิการหลายฉบับ และยื่นฟ้องต่อศาลแขวงพระนครใต้ เป็นคดีเดียว แต่มีจำเลยหลายคน

วันนั้น ฝ่ายจำเลยคือบรรณาธิการทุกคนที่ถูกฟ้อง ต้องไปพร้อมทนายความ รวมทั้งเสมียนทนาย จึงมีจำนวนมากเกือบ 20 คน ฝ่ายโจทก์ นอกจากตัวโจทก์ ซึ่งชื่อว่าเจ้าพ่อเมืองเพชร ย่อมมีผู้ติดตาม (จะเรียกว่าอะไรก็ตาม) พร้อมทนายความใช่จะน้อยเสียเมื่อไหร่

ศาลแขวงพระนครใต้เช้าวันนั้น จึงแน่นไปด้วยโจทก์และจำเลยทั้งสองฝ่ายที่บางคนรู้จักแทบว่าสนิทสนม จึงทักทายกันและกัน เจ้าพ่อเมืองเพชร มีธรรมชาติเป็นคนเสียงดังพูดมึงมาพาโวยอยู่แล้วยิ่งทำให้บรรยากาศไม่เคร่งเครียด มีเสียงหัวเราะหัวใคร่เป็นระยะจากการกระเซ้าเย้าแหย่ของบรรณาธิการบางคน

ครั้นเมื่อถึงเวลาที่ทนายความต้องยื่นเอกสารต่อศาล ทั้งโจทก์และจำเลยต้องเซ็นเอกสารคนละหลายแห่ง ฝ่ายโจทก์มีคนเดียว แต่ฟ้องจำเลยหลายคน จึงต้องเซ็นเอกสารมากกว่าใครเขา

หน้าห้องธุรการศาลใช่ว่าจะกว้างขวางนัก ทั้งโต๊ะเก้าอี้มีไม่เพียงพอกับจำนวนโจทก์และจำเลย การใช้พื้นที่จึงทุลักทุเล ยิ่งต้องเซ็นชื่อในเอกสารจำนวนไม่น้อย ผู้เซ็นแทบว่าไม่ได้เงยหน้า

เซ็นชื่อไปได้ประเดี๋ยวหนึ่ง เสียง “พี่แป๋ง” เจ้าพ่อเมืองเพชร ดังขึ้นว่า ทำไมมากมายอย่างงี้วะ พอได้ยินกันทั่วบริเวณนั้น

ไม่ทราบว่าเสียงใครคนใดคนหนึ่งดังขึ้นว่า ยังครับพี่ ยังมีต้องเซ็นอีกมากกว่านี้ แล้วพี่แป๋งต้องมาศาลอีกหลายครั้ง เสียงตอบจากเจ้าพ่อเมืองเพชร เหมือนอุทานออกมาว่า “เรอะ!!!” แล้วชะงักปากกาที่ถือในมือ พร้อมเปรยขึ้นมาว่า ยุ่งยากอย่างงั้นเชียวเรอะ เสียงตอบจากฝ่ายจำเลยว่า ครับพี่ เสียงย้อนถามว่า แล้วจะให้ทำยังไง เสียงใครคนนั้นชี้แนะอย่างเรียกว่าแทบเป็นไปไม่ได้ว่า

“พี่แป๋งก็ถอนฟ้องซะซิครับ – แล้วจะให้พวกเราทำอะไรก็บอกมา”

ช่วงเวลาเพียงประเดี๋ยวเดียว ยังไม่ทันที่เจ้าพ่อเมืองเพชรจะได้หารือกับทนายความ หรือทนายความยังไม่ได้แนะนำอย่างไร เจ้าพ่อเมืองเพชรเงียบไปสักครู่ แล้วปรารภเหมือนถามขึ้นว่า เอาอย่างงั้นเรอะ ว่าแล้วก็เอ่ยขึ้นว่า ถอนก็ถอน ดูเหมือนฝ่ายทนายโจทก์จะชะงักแปลกใจ ส่วนฝ่ายจำเลยทั้งหมดได้แต่ยิ้ม บางคนยังสนับสนุนว่า ดีครับ ถอนก็ดี พี่จะได้ไม่ต้องยุ่งยากมาศาลอีกหลายนัด

ว่าแล้ว โจทก์ ปิยะ อังกินันทน์ – เจ้าพ่อเมืองเพชร ยื่นปากกาคืนให้ทนายความ แล้วบอกว่า “ถอนก็ถอน” เท่านั้นแหละ เป็นอันคดี “เจ้าพ่อเมืองเพชร” ฟ้อง บ.ก.หนังสือพิมพ์นับสิบฉบับ จบลงด้วยดี พร้อมพาดหัวหนังสือพิมพ์วันรุ่งขึ้น “ยังไม่ทันให้การ เจ้าพ่อเมืองเพชรถอนคดีหนังสือพิมพ์” คล้ายอย่างนั้น หนักเบาแล้วแต่บรรณาธิการหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับ

หลังจากนั้น ไม่เคยพบว่า เจ้าพ่อเมืองเพชร ปิยะ อังกินันทน์ ฟ้องหนังสือพิมพ์อีก

 

หลายครั้ง ตัวโจทก์และตัวจำเลยส่วนมากมักเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อมีการกล่าวหาทั้งในและนอกสภา โดยเฉพาะในการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว แล้วถ่ายทอดไปลงในหน้าหนังสือพิมพ์ แน่นอนว่า อาจไม่ได้ลงทุกคำพูดของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่ละคน ซึ่งบางคนให้สัมภาษณ์ในลักษณะกล่าวหาสมาชิกอีกคนหนึ่ง อาจจะเป็นอริต่อกันหรือไม่ ไม่ทราบได้

รายนี้ หลังจากให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์แล้ว หนังสือพิมพ์นำไปตีพิมพ์เป็นข่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ถูกพาดพิงถึงฟ้องร้องต่อศาลที่ตัวจำเลยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดนั้น บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ที่ลงตีพิมพ์ในฐานะผู้เผยแพร่ต้องถูกฟ้องร้องด้วย

การเดินทางไกลไปในจังหวัดที่โจทก์และจำเลยซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แม้จะเป็นคดีฟ้องร้องส่วนตัว แต่เพราะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจึงเดินทางด้วยค่าโดยสารของรัฐสภา ซึ่งเป็นภาษีของประชาชน แต่บรรณาธิการและทนายความต้องเสียค่าเดินทางด้วยตัวเอง

ก็เอาเถอะ เมื่อมาทำหน้าที่นี้ และงานสื่อมวลชน การถูกฟ้องร้องในคดีหมิ่นประมาทย่อมเป็นธรรมดา เพราะการนำเสนอข่าวของหนังสือพิมพ์มติชน ถือหลักว่า “ทำความจริงให้ปรากฏ” ดังนั้น อะไรจะเสีย (ค่าใช้จ่าย) ก็ต้องเสีย ไม่เช่นนั้นอาจจะ “ทำความจริงให้ปรากฏ” ไม่ได้

วันที่จำเลยต้องขึ้นเป็นพยานจำเลยให้ตัวเอง ฝ่ายโจทก์ฟังการซักถามของทนายความตัวเองไม่ได้ดังใจจึงขอผู้พิพากษาซักความด้วยตัวเอง

ผู้พิพากษาถามโจทก์ว่า โจทก์เรียนมาเป็นวิศวกรไม่ใช่หรือ เรื่องนี้เป็นเรื่องกฎหมาย เมื่อโจทก์จะซักความเองเป็นสิทธิ์ของโจทก์ ศาลอนุญาต

หลังจากโจทก์ซักไปได้สองสามคำถาม พยานคือตัวจำเลยตอบคำถามด้วยคำตอบเพียง ไม่ทราบ ได้สักสองสามคำถาม ตัวโจทก์มีอาการไม่พอใจ โพล่งออกมาว่า ตอบหยั่งงี้ก็ไม่ยุติธรรมน่ะซิ

เท่านั้นแหละ ศาลท่านจึงเอ่ยชื่อโจทก์ แล้วว่า ศาลบอกโจทก์แล้วใช่ไหมว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องกฎหมาย เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม เรื่องผิดถูกเป็นเรื่องศาลวินิจฉัยตามกฎหมาย ถ้าโจทก์เห็นว่าไม่ยุติธรรม เป็นหน้าที่ของโจทก์ต้องไปแก้ไขกฎหมายในสภา

เท่านั้นแหละ โจทก์ยกมือไหว้ขอโทษศาล นั่งลงแล้วให้ทนายโจทก์ดำเนินการต่อ