กาละแมร์ พัชรศรี : วันที่มอบรางวัลให้ตัวเอง

เรื่องสนุกของชีวิตตอนนี้คือ เล่นเกมแข่งกับตัวเองค่ะ

เราทุกคนต่างรู้ว่า คนที่เอาชนะได้ยากยิ่งที่สุดไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นตัวเราเองนี่แหละค่ะ เพราะเรารู้จักตัวเรามากกว่าใคร เรารู้ว่าอะไรคือจุดแข็ง อะไรคือจุดอ่อน อะไรคือข้อด้อย อะไรคือจุดบอด เราใจแข็ง ใจอ่อนกับอะไร

เมื่อเรารู้จักตัวเองดีแบบซื่อสัตย์และยอมรับว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ คราวนี้ฉันก็มี mission ของตัวเองหลังจากซาบซึ้งในพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 10 ว่า

“การดำรงชีวิตที่ดีต้องปรับปรุงตัวเองตลอดเวลา การปรับปรุงตัวต้องมีความเพียรและความอดทนเป็นที่ตั้ง ถ้าคนเราไม่หมั่นเพียร ไม่มีความอดทน ก็อาจท้อใจไปโดยง่าย เมื่อท้อใจไปแล้ว ไม่มีทางที่จะมีชีวิตเจริญรุ่งเรืองแน่ๆ”

ฉันเลยตั้งใจไว้ว่าเราจะขัดเกลาตัวเองให้ดีขึ้นทุกๆ วัน ไม่ใช่ต้องการเหนือเกินใคร แต่คิดว่าเรายังมีข้อเสีย ข้อด้อย ข้อไม่ดีอีกมากมาย ซึ่งทำให้เราไม่ชอบตัวเอง และมักเสียใจภายหลังที่ทำลงไป ไม่ใช่แค่เราเสียใจ คนรอบข้างก็คงเสียใจหรือรู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่เราทำ

ฉันจึงคิดว่า เราไม่ควรปล่อยนิสัยที่ยังไม่ดีของตัวเองเป็นไปตามยถากรรม ไร้การควบคุม เพียงเพราะเราปล่อยไหลไปตามอารมณ์ของตัวเอง แล้วให้เหตุผลแบบเข้าข้างตัวเองว่า “ก็ฉันเป็นของฉันแบบนี้”

งานนี้ใช้ “สติ” เยอะมาก เพราะที่ผ่านมาขาดสติไปเยอะ เรียกว่าไม่ได้ใช้เลยดีกว่า อะไรเข้ามากระทบก็ตบต่อทันที การตอบโต้อย่างสาสมต้องเกิดขึ้น ไม่มีอะไรดีเลยค่ะ ถึงเราชนะแต่เราก็เหนื่อย หงุดหงิด อารมณ์เสียไปนาน ความสัมพันธ์แตกหัก ไม่มองหน้ากัน หรือมีบรรยากาศแบบไม่ดี

นี่ยังไม่นับอาการทางร่างกายที่หัวใจเต้นรัว หน้าหงิกงอ ปวดหัว ปวดท้อง แล้วอาการในร่างกายที่เรามองไม่เห็นอีก ไม่รู้ทำลายระบบอะไรไปบ้างต่อการโกรธหรืออารมณ์เสียต่อครั้ง

 

Mission มีเข้ามาให้เราได้ทดลองใจเราอยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่เรื่องเล็กยันเรื่องใหญ่ ไม่ใช่แค่อารมณ์โกรธ หงุดหงิดใจ แต่ยังมีเรื่องการปล่อยเวลาไหลไปกับโซเชียลมีเดีย เช่น ก่อนนอนใช้เวลาเล่นเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม เล่นไลน์เป็นชั่วโมงๆ ซึ่งมันเป็นการไปสนใจเรื่องชาวบ้านทั้งสิ้น ถามว่าไม่รู้ก็อยู่ได้ไหม คำตอบคือ “ได้” เพราะเเป็นเรื่องของคนอื่นไม่ได้เกี่ยวข้องกับเราเลย แต่เราไปสาระแน สอดส่อง อยากรู้อยากเห็นไปทั่ว

แล้วพอรู้เรื่องมากมาย ก็ฟุ้งซ่าน กว่าจะนอนได้ก็ใช้เวลาอีก พานฝันเละเทะมากมาย ตาก็แห้ง รอยดำคล้ำใต้ตาก็มาเยือน

เรียกว่านอนดึกแถมไร้คุณภาพจริงๆ แทนจะนอนเร็ว ดีต่อร่างกาย สุขภาพ ตื่นมาจะได้มีพลัง สดใส หรือเอาเวลาไปนั่งสมาธิ อ่านหนังสือ เตรียมงานให้เกิดประโยชน์ ถือว่าเสียเวลาไป 2-3 ชั่วโมงแบบเปล่าประโยชน์จริงๆ

ก็เลยตั้งใจกับตัวเองว่า เราจะไม่จับโทรศัพท์จนเป็นนิสัย ไม่ใช่เอะอะไม่มีอะไรทำก็จะดูโทรศัพท์เพื่อไปรู้เรื่องคนอื่น ถ้าจะจับต้องมีกิจธุระ คุยกับพ่อแม่ ครอบครัวก่อนที่จะไปคุยเล่นกับใคร หรือไม่ก็เพื่อทำงาน

ถ้าต้องรอใครหรือนั่งว่างๆ ก็จะใช้วิธีดูลมหายใจไป หรือถ้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นก็ต้องเตือนตัวเองให้ไว ถึงบอกว่าต้องใช้ “สติ” เยอะเหลือเกิน

เพราะโซเชียลมีเดียเล่นไปนานๆ มันจะติด ติดเหมือนยาเสพติด เล่นมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้เล่นแล้วมันจะลงแดง แต่เราต้อง “ใช้” มันให้เกิดประโยชน์มากกว่าโทษให้ได้

เรื่องเล็กๆ แบบนี้ มันจะสนุกตอนสู้กับตัวเองว่าจะ “เล่นสักหน่อย” “ดูสักนิด” “เปิดแป๊บเดียวน่า” มันต่อสู้กันในตัวเองหนักมาก

แต่พอทำได้มันจะสะใจ ใช้เวลาอ่านหนังสือได้มากขึ้น หรือสะสางงานได้เสร็จเร็วขึ้นและนอนเร็วขึ้นได้

ส่วนเรื่องอารมณ์เสีย หงุดหงิดนั้นมันเกิดจากที่เราไม่พอใจคนอื่นที่เขาทำไม่ได้อย่างที่เราคิด อย่างที่เราต้องการ ไม่เร็วพอ ไม่ดีอย่างที่เราชอบ เอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน ทุกคนต้องตามเรา เราทำได้ทำไมคนอื่นทำไม่ได้

คิดดูเถิดที่ผ่านมา “เป็นบ้า” ไปแค่ไหน เหนื่อยมากค่ะ มันเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบตัวเองเลย

เราเลยเปลี่ยนแปลงตัวเอง ใครทำผิดพลาดก็บอกเขาดีๆ แล้วปล่อยผ่านไป

ทำงานกับคนหมู่มากก็เคารพหน้าที่ของแต่ละบุคคล เชื่อในความสามารถของเขา รับฟัง มองในมุมของเขาว่าเขาต้องการอะไร เอาใจเขามาใส่ใจเรา และทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด

ทำตัวว่างๆ เบาๆ ใสๆ แบบไร้ตัวตน รักษาอารมณ์ให้สนุกสนานครื้นเครง

ในวันที่ทำงานยากที่สุด ต้องเจอกับเรื่องราวเยอะที่สุด มันก็ผ่านมาได้แบบสบายๆ ด้วยความตั้งใจที่จะขัดเกลาตัวเองให้ดีขึ้น

วันที่เราทำผ่านมาได้ เราโคตรชอบตัวเองเลย ความรู้สึกวันนั้นคืออยากยืนตบมือให้ตัวเอง ยิ่งใหญ่เหมือนเราทำงานใหญ่สำเร็จ ความเบิกบานเกิดขึ้นในใจ

รางวัลที่ได้ไม่ใช่ตัวเงิน ไม่ใช่โล่หรือใบประกาศใดๆ

แต่มันเป็นสิ่งที่เรารู้อยู่แก่ใจว่าเราผ่านอะไรมา แค่นั้นก็คือรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราแล้วค่ะ…