คนของโลก : ‘แซลลี เยตส์’ รักษาการรัฐมนตรีผู้ท้าทายอำนาจทรัมป์

AFP PHOTO / SAUL LOEB

“นางแซลลี เยตส์” นักกฎหมายวัย 56 ปี ดำรงตำแหน่ง “รักษาการรัฐมนตรียุติธรรม” นับตั้งแต่ โดนัลด์ ทรัมป์ รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา

ทว่า เมื่อวันที่ 30 มกราคม “เยตส์” ต้องถูกผู้นำสหรัฐคนใหม่ “ไล่ออก” จากตำแหน่งแบบสายฟ้าแลบ ผลจาก “จุดยืนทางกฎหมาย” ต่อนโยบายงดรับผู้อพยพจากประเทศมุสลิม 7 ชาติ อยู่คนละฟากฝั่งกับ “ทรัมป์” ผู้ลงนามคำสั่งดังกล่าวไปก่อนหน้านี้

ดราม่าทางการเมืองครั้งล่าสุดมีขึ้นท่ามกลางการประท้วงคำสั่งดังกล่าวของทรัมป์ ที่ขยายวงไปทั่วประเทศเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน

AFP PHOTO / SAUL LOEB

“แซลลี เยตส์” จบการศึกษาด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยจอร์เจีย หลังจากนั้นเข้าทำงานในกระทรวงยุติธรรมสหรัฐต่อเนื่องยาวนานถึง 30 ปี

ในช่วงทศวรรษที่ 80 “เยตส์” เริ่มทำงานเป็น “ผู้ช่วยอัยการ” เขตนอร์ธเทิร์นดิสตริก ในรัฐจอร์เจีย ก้าวหน้าในหน้าที่การงานด้วยการผ่านคดีหลากหลายลักษณะ นับตั้งแต่คดีทุจริตในสำนักงาน เรื่อยไปจนถึงคดีทุจริตทางการเมือง

คดีที่มีชื่อเสียงที่ “เยตส์” ได้ทำหน้าที่ฐานะอัยการ เกิดขึ้นในการดำเนินคดี “อีริก รูดอล์ฟ” ผู้ต่อต้านการทำแท้งและกลุ่มคนรักร่วมเพศ ที่ก่อเหตุระเบิดหลายครั้งในช่วงทศวรรษที่ 90 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

สุดท้าย รูดอล์ฟ ต้องรับโทษจำคุกตลอดชีวิตถึง 4 กระทง

AFP PHOTO / SAUL LOEB

ในปี 2010 บารัค โอบามา แต่งตั้ง “เยตส์” ให้เป็นอัยการประจำเขตนอร์ธเทิร์นดิสตริก ในรัฐจอร์เจีย นับเป็นอัยการหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับตำแหน่งนี้

ก่อนที่ “เยตส์” จะสามารถก้าวขึ้นสู่จุดเกือบสูงสุดของอาชีพนักกฎหมายในฐานะ “รัฐมนตรีช่วยยุติธรรม” ในยุคประธานาธิบดี บารัค โอบามา ดูแลเจ้าพนักงาน 116,000 ชีวิต รวมไปถึงหน่วยงานอย่าง สำนักงานสืบสวนกลาง (เอฟบีไอ) หน่วยปราบปรามยาเสพติด (ดีอีเอ) สำนักงานควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ อาวุธปืน และวัตถุระเบิด รวมไปถึงหน่วยงานทัณฑสถานด้วย

อดีตผู้อำนวยการเอฟบีไอ หลุยส์ เจ. ฟรีห์ซาอิด ชื่นชม “เยตส์” ผ่านสื่อเมื่อปี 2014 ระบุว่า เยตส์เป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างชัดเจนและมีทางแก้สำหรับปัญหาทุกปัญหา

ขณะที่ อีริก โฮลเดอร์ อดีตรัฐมนตรียุติธรรม ระบุว่า เยตส์นั้นเป็นดาวเด่นที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับข้อเท็จจริง

“เธอมีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายอย่างแท้จริง มีเซนส์เกี่ยวกับทิศทางของคดีที่ยอดเยี่ยม มีความสามารถในการคาดการณ์ผลลัพธ์ เป็นคนทำการบ้าน”

ก่อนเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วย “เยตส์” ผู้เป็นสมาชิกพรรคเดโมแครต ได้รับการลงคะแนนเสียงรับรองจากคณะกรรมาธิการทั้งสองพรรคอย่างท่วมท้น ต่างกับ “ลอเร็ตตา ลินช์” ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรียุติธรรม ที่คะแนนเสียงแบ่งเป็นสอง

ทว่า สมาชิกพรรครีพับลิกันอย่าง “จอห์น เซสชันส์” เป็นหนึ่งในสมาชิกคณะกรรมาธิการไม่กี่คนที่โหวตคัดค้าน “เยตส์”

AFP PHOTO / Nicholas Kamm

ขั้นตอนการรับรองในชั้นกรรมาธิการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการเผชิญหน้าทางการเมืองในเวลานี้ด้วย เมื่อรัฐบาลภายใต้การบริหารของ “ทรัมป์” ร้องขอให้ “เยตส์” ดำรงตำแหน่งรักษาการรัฐมนตรียุติธรรมต่อไป จนกว่า “เซสชันส์” ผู้ที่ทรัมป์จะแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรียุติธรรม จะเข้ารับตำแหน่งแทนเมื่อผ่านการรับรองในคณะกรรมาธิการแล้ว

การเผชิญหน้าตึงเครียดขึ้นอีกเมื่อทรัมป์ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีให้ระงับการเดินทางเข้าสหรัฐของผู้ที่มาจาก 7 ชาติมุสลิม

“เยตส์” ผู้มองว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย พร้อมแสดงจุดยืนอันชัดเจนด้วยการส่งหนังสือไปยังอัยการภายใต้กระทรวงยุติธรรมไม่ให้แก้ต่างทางกฎหมายให้กับ “คำสั่งอันเกี่ยวกับผู้อพยพและผู้ลี้ภัย” ของประธานาธิบดีทรัมป์ เหตุเพราะเยตส์ไม่คิดว่าคำสั่งดังกล่าวจะชอบด้วยกฎหมาย

และนั่นทำให้ “เยตส์” ถูกปลดออกจากตำแหน่งในอีก 1 ชั่วโมงต่อมา พร้อมแถลงการณ์ของโฆษกทำเนียบขาวที่ระบุว่า “เยตส์” ทรยศต่อกระทรวงยุติธรรมด้วยการไม่บังคับใช้กฎหมายที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องพลเมืองสหรัฐอเมริกา พร้อมทั้งโจมตี “เยตส์” ว่ามีความอ่อนแอเกี่ยวกับประเด็นชายแดน และอ่อนด้อยในเรื่องการอพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย

ดราม่าในครั้งนี้ กลายเป็นความขัดแย้งครั้งใหญ่ ท่ามกลางบรรยากาศการประท้วงที่ขยายวงกว้าง หลัง “รัฐบาลทรัมป์” เปิดฉากการบริหารงานได้เพียงไม่นาน

และเชื่อแน่ว่าฉากความขัดแย้งจะยังคงตามมาอีกมากในละครโรงใหญ่อย่าง “สหรัฐอเมริกา” แห่งนี้