การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ หางตัวเองกับหัวของตัวอื่นๆ

“ตื่น! ตื่น! น้อง ตื่นได้แล้ว”

ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ยังรู้สึกง่วงงุนงัวเงีย แต่เมื่อสายตาปรับชัดขึ้นก็เห็นใบหน้าที่จ้องอยู่

พี่ชุนนั่งข้างขอบเตียง แต่งตัวนุ่งผ้าใหม่เรียบร้อยดีแล้ว มือข้างหนึ่งยังจับแขนฉันเขย่าอยู่

ผุดลุกขึ้น

แสงอาทิตย์สาดจ้าเข้ามาจากหน้าต่างบานหนึ่ง พุ่งเป็นลำจนแทบแสบตา ต้องหยีตาและหันหน้าหนีไปอีกด้าน

“กี่โมงแล้วพี่”

“จะห้าโมงแล้ว”

มิน่า แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันนี่เอง ฉันจดจำความแข็งกร้าวของมันได้ จากประสบการณ์ของฉัน ตะวันให้แสงที่แตกต่างในแต่ละช่วงเวลา ก่อนจะลับเหือดสิ้นไปในสนธยา ดวงไฟสีส้มนั้นมักจะเปล่งแสงแรงสุด เป็นความเข้มข้นจนหนาหนัก

แตกต่างแม้แต่ยามเที่ยงวัน

และบัดนี้ ฉันก็กำลังตกอยู่ในรังสีสีส้มที่อาบไปทั่วห้องพักชั่วคราว ราวกับเป็นอีกมิติหนึ่ง

จนกระทั่งพี่ชุนลุกขึ้นรูดผ้าม่านปิดฉับ

“ห้องนี้ดีทุกอย่าง เสียตรงอยู่ฝั่งนี้ จะค่ำทีไรได้แสบตาทุกที”

ฉันรู้สึกถึงความอ่อนเพลียอยู่โหวงๆ ช่างน่าแปลก ทั้งที่ได้หลับสนิทจนแทบไม่ฝัน แทนที่จะตื่นขึ้นสดชื่นมีพละกำลัง กลับเหมือนใจหวิวๆ ไหวๆ อย่างไรพิกลอยู่

จนเมื่อลุกจะออกจากเตียง

“อ้าว…น้อง”

พี่ชุนเบิกตา และจุดสายตาทำให้ฉันก้มดูบ้าง แล้วก็เห็นว่า ตรงหว่างขามีวงเลือดสีแดงชุ่มฉ่ำ ของเหลวนั้นยังย้อยหยาดจนซึมถึงผ้าปูข้างใต้

ฉันแทบกระโดดลงจากที่นอน…มืดหน้าตาลาย ความอับอายพุ่งขึ้นจนร้อนผ่าวไปทั้งหน้า

“…ตายละ!”

แต่พี่ชุนหัวเราะอย่างขบขัน

“โธ่เอ๊ย…”

แล้วส่ายหน้า

“ว่าจะรีบไปเดินแอ่ว สงสัยจะไม่ได้ไปไหนแล้วมั้ง…ลุกเลย เดี๋ยวต้องรีบเอาไปล้างน้ำก่อน…ลุกเลยน้อง”

 

เป็นความอับอายจนไม่สามารถจะบรรยายได้ ในสภาพที่ยืนบีบขาแน่นอยู่ มองดูเจ้าของห้องกุลีกุจอกระชากผ้าปูออกจากฟูก ดีว่าผ้าหนาอยู่ไม่น้อย มีลวดลายการ์ตูน คราบเลือดเปื้อนไปบนใบหน้าของหนูหูใหญ่ ใส่สีเสื้อแดงกับหมวกสีดำ ยืนกางแขนกางขา ทำให้มันดูตลกขบขันมากขึ้น

แต่ฉันก็ไม่อาจตลกด้วยได้ แม้ใบหน้าของพี่ชุนเองจะเปื้อนยิ้มอยู่ตลอดเวลา

ยังส่ายหน้าอีกหน

“ทำอย่างเป็นละอ่อน…ไม่ได้เตรียมตัวเลยสิ”

ฉันไม่ใช่เด็กแล้ว รู้ว่าตัวเองจะต้องมีประจำเดือนทุกเดือน เท่าที่เคยจดบันทึกเอาไว้ รู้ว่าจะมีรอบมาทุกๆ 20-28 วัน แต่ก็นั่นเอง ในวันที่คิดว่ายังไม่ถึงเวลา ประจำเดือนก็มาจนได้

ขณะนั้นเอง พลันรู้สึกได้ถึงสิ่งที่ยังไหลย้อยหยาดในซอกขาอยู่

“พี่…”

“?” พี่ชุนเหลียวมา ผ้าปูเตียงผืนเก่าม้วนกองอยู่บนพื้นแล้ว

“…เอ้อ…พี่มีโกเต๊กหรือเปล่า”

“เออ จริงสิ!” พี่ชุนยืดตัวขึ้นโดยว่องไว “มี เดี๋ยวเอาให้”

ร่างขาวเดินไปเปิดบานตู้ กุกกักอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบแผ่นอนามัยสีขาวๆ ออกมา ยื่นให้พร้อมกับเสื้อผ้าอีกหนึ่งชุด

“ไปอาบน้ำใหม่ละกัน…เสื้อผ้าที่เปื้อนเดี๋ยวเอาล้างน้ำก๊อกไปก่อน หมดคราบค่อยเอาลงไปส่งข้างล่าง”

“เราซักตากเองก็ได้”

“ไม่ได้ บนนี้ไม่มีที่ตากหรอก เสื้อผ้าส่งเขาซักหมด ถูเฉพาะที่เปื้อนออกก็พอ”

 

ฉันนุ่งเสื้อผ้าใหม่อีกชุดหนึ่งแล้ว เป็นเสื้อยืดที่พอดีตัวมากขึ้น สีเหลืองตุ่นๆ กับกางเกงขาสั้นอีกตัว ไม่ได้ถามว่าเสื้อผ้าใคร…แต่นึกรู้ได้ว่าคงไม่ใช่เสื้อของพี่ชุนแน่ เพราะคนละขนาดกัน

มองเห็นเจ้าของห้องกำลังปูเตียงใหม่ หลังจัดการกับกางเกงและผ้าที่เปื้อนเลือดไปแล้ว โดยรวดเร็วที่มิตรใหม่จัดการทุกสิ่งอัน เหลือเพียงหิ้วตะกร้าลงไปให้ร้านซักรีดข้างล่างเท่านั้น

แสงตะวันลับหายไปหมดแล้ว มองผ่านกระจกหน้าต่างออกไป ความมืดกำลังคลี่คลุมลงมา พร้อมกับแสงไฟสว่างขึ้นเป็นจุดๆ

…ฉันกำลังอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่

“เสร็จหมดแล้ว งั้นเดี๋ยวเราออกไปหาข้าวกินกัน”

“พี่…เรา…ขอโทษด้วยนะ”

“เรื่องอะไร” มิตรใหม่เหลียวมามองหน้า

“ก็…ที่ทำความลำบากให้พี่”

 

มีรสประหลาดซ่านแทรกเข้ามา ในห้วงเวลาที่ไม่ได้คาดหมาย เหมือนการมาถึงของอะไรสักอย่างที่แผกลิ้น แต่ก็คงเป็นเพราะปลายลิ้นนั่นแน่ ที่ดีดดิ้นซอกซอน รุกเร้า ราวในปากของฉันคือดินแดนน่าค้นหา

เสียงของฉันเหือดหาย เพียงพร่าอยู่ในลำคอ เพราะความไม่ทันตั้งตัวตอนที่พี่ชุนประกบปากเข้ามา

คนคนหนึ่ง…ที่คงไม่อาจเรียกว่าคนแปลกหน้าได้อีกแล้ว เพราะเป็นคนที่เพิ่งซักเลือดประจำเดือนให้ฉันไป และยังยื่นแผ่นอนามัยโกเต๊กให้ฉันทาบ_ี…คนคนนี้กำลังจูบฉันอยู่

แต่ไม่รู้ว่า มันเป็นสัญชาตญาณของฉัน หรือเพราะฉันเป็นคนอย่างนี้ เวลาที่ปากกำลังรับรู้รสชาติอย่างหนึ่ง หัวใจก็เกิดความรู้สึกไปอีกอย่าง พร้อมกันนั้น ในหัวสมองของฉันก็อึงอลไปด้วยความคิด

 

เมื่อเธอจูบฉัน

เหมือนแสงตะวันร้อนกำลังแผดเผา

ภายนอกที่มองเห็นแสงเงา

นกสีขาวกระหยับปีกอยู่ไหวไหว

 

แต่เปลวแดดที่แผดกล้า

จะกระทบเนื้อฉันก็หาไม่

ยังคงเย็นยะเยือกอยู่ภายใน

เหมือนหัวใจตกหล่นเสียข้างทาง

 

มือเธอกอดกุมฉัน

หากนั่นยิ่งทำให้ชัดเจนว่าเหินห่าง

มีสิ่งใดกำลังกั้นกาง

ทั้งที่เราต่างพยายามแนบชิด

 

ตาเธอมองดูฉัน

สารพันเปิดเผยที่เคยปิด

แต่ในห้วงอันมืดมิด

ฉันมองเธอด้วยความคิดปราศจากดวงตา

 

เราจ้องมองกัน

เพียงเพื่อจะสั่นไหวพร่างพร่า

ในบางห้วงของเวลา

แค่แสงตะวันที่สาดมาไม่เคยถึงฉัน

 

ฉันยกแขนขึ้นโอบรอบคอพี่ชุน เบียดตัวเข้าไปจนชิด ริมฝีปากยังคงบดเบียดกันอยู่ ฉันรู้ดีถึงวิธี “ทำ” เรื่องพวกนี้ ในหลายๆ ครั้งที่เคยมีประสบการณ์ เคยผ่าน เคยพบ จากต้นจนจบในหลายๆ รูปแบบ

แต่ทว่า แม้ว่าปลายลิ้นนั้นจะระริกรัวสักปานใด หรือหัวใจฉันเองก็พร้อม…ที่จะยอมต้อยตามไป ในชั่ววูบหนึ่งนึกขนาดว่า ถ้าจะทำกันจริงๆ แล้ว มีเลือดท่วมหว่างขาก็ทำได้ แต่ช่างกระไร…แม้จะแลกสัมผัสกันจนแทบจะแสบชาไปทั้งปาก

ฉันกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไรมากไปกว่า…

น้ำตา…น้ำตาที่น่ารังเกียจกำลังพรั่งพรูขึ้นมา

และโดยที่ฉันไม่สามารถบังคับควบคุมมันได้

“…อ้าว! น้องเป็นอะไร” พี่ชุนตระหนกตกใจ เมื่อส่วนหนึ่งของใบหน้าร่วมเป็นทางผ่านของน้ำตาฉัน

ร่างสูงกว่าผละออก จับไหล่ฉัน ยันตัวดูหน้า

“…ร้องไห้ทำไม!”

ฉันไม่สามารถตอบได้ เช่นเดียวกับที่ไม่อาจควบคุมเลือดที่ไหลจากช่องในหว่างขา น้ำเลือดกับน้ำตา ในบางเวลาก็เป็นของไร้กาลเทศะ สมควรที่ฉันจะชังมันทั้งคู่

“…ไม่มีอะไรพี่…ไม่เป็นอะไร”

พยายามจะข่มกลั้น ขบปากตัวเอง อุดปากตัวเอง ฉันต้องทำให้ได้ แต่ให้ตายเถอะ ในหัวยังคงอึงอลไปด้วยถ้อยคำที่ไม่ประสงค์จะเรียกใช้ ตัวหนังสือล่องหนกลายเป็นงูเหยียดยาวมากมาย พวกมันเลื้อยพันกันไปยุบยับ จนแทบไม่เหลือที่ว่าง

ยังมีรังงูอยู่ในอกนี้ พวกมันกำลังต่อตัวกันเป็นบทกวี…ยังมีรังงูอยู่ในอกนี้ แต่พวกมันก็กินทั้งบทกวี หางตัวเองกับหัวของตัวอื่นๆ