ยานยนต์ สุดสัปดาห์/สันติ จิรพรพนิต/โตโยต้า ‘โคโรลล่า อัลติส’ ใหม่ ‘เรียบหรู-ไฮเทค’ พร้อมเครื่องไฮบริด

สันติ จิรพรพนิต

ยานยนต์ สุดสัปดาห์/สันติ จิรพรพนิต [email protected]

โตโยต้า ‘โคโรลล่า อัลติส’ ใหม่

‘เรียบหรู-ไฮเทค’ พร้อมเครื่องไฮบริด

 

ร้อนฉ่าขึ้นมาทันทีกับตลาดเก๋ง “ซี-เซ็กเมนต์” ซึ่งปัจจุบันน่าจะจัดว่าเป็นเก๋งกลางไปแล้ว จากในอดีตถือว่าเป็นเก๋งเล็ก เพราะขนาดตัวถังและเครื่องยนต์ขยายใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ

ที่ว่าตลาดนี้ระอุสุดๆ เพราะโตโยต้าเพิ่งเปิดตัว “โคโรลล่า อัลติส” ใหม่ เจเนอเรชั่นที่ 12 ตัดหน้า “มาสด้า 3” ที่นัดเปิดตัววันที่ 18 กันยายน

ขณะที่ “ฮอนด้า” เองเชื่อว่าต้องปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่างกับ “ซีวิค” ที่อวดโฉมมาพักใหญ่ เพราะ 2 ขาใหญ่ส่งรุ่นโมเดลเชนจ์เข้ามาแล้วนั่นเอง

แถมครั้งนี้อัลติสใหม่มาแบบไม่ธรรมดา เพราะมีเครื่องยนต์ถึง 3 บล็อกให้เลือก ทั้งเบนซิน 1.6 ลิตร 1.8 ลิตร และ 1.8 ลิตรไฮบริด

ถือเป็นครั้งแรกของรถในเซ็กเมนต์นี้ที่มีรุ่นไฮบริดมาให้เลือก

ด้วยเป็นรถไฮบริดทำให้ได้สิทธิภาษี ซึ่งโตโยต้านำมาปรับลดราคาในรุ่นท็อป พลอยทำให้กลายเป็นรถรุ่นท็อปที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับ “ซีวิค” และ “มาสด้า 3” (ที่คาดว่าน่าจะทะลุ 1.1 ล้าน)

นอกจากนี้ ยังมีรุ่นแต่งพิเศษ “GR-Sport” เป็นรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร

และแน่นอนไม่พลาดกับ “Limo” รุ่นที่ออกมาเพื่อทำแท็กซี่โดยเฉพาะ ซึ่งคราวนี้มีแต่อัตโนมัติเท่านั้น

สำหรับรถตระกูลโคโรลล่า สำหรับเมืองไทยแล้วคุ้นหน้าคุ้นตากันดี เพราะเข้ามาทำตลาดกว่า 50 ปีแล้ว มียอดขายสะสมในเมืองไทยกว่า 8 แสนคัน ยิ่งระดับโลกไม่ต้องพูดถึง ขายสะสมกว่า 47 ล้านคัน กว่า 150 ประเทศ

โตโยต้าระบุว่า เฉลี่ยแล้วสามารถขายรถยนต์โคโรลล่า 1 คันในทุกๆ 15 วินาที

“โคโรลล่า” เป็นรถรุ่นที่ขายดีที่สุดของโตโยต้า

 

โคโรลล่า อัลติส ใหม่ ใช้เทคโนโลยีจากสถาปัตยกรรมยานยนต์ใหม่ “TNGA” (Toyota New Global Architecture) ซึ่งเป็นการออกแบบให้กับรถโตโยต้าในรุ่นหลังๆ

ด้านหน้าออกแบบใหม่หมดแต่ก็ดูคล้ายๆ กับรุ่นพี่ รุ่นน้อง

ไฟหน้า LED Projector พร้อมระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ และปรับระดับไฟหน้าสูง-ต่ำอัตโนมัติ ออกแบบได้ดูโฉบเฉี่ยว พร้อมไฟส่องสว่างกลางวันแบบ LED Daytime Running Lights

ต่ำลงมาเป็นไฟตัดหมอก ตกแต่งเส้นสายบริเวณด้านข้างดูมีมิติมากกว่าเดิม

กระจกมองข้างปรับ-พับด้วยไฟฟ้าแบบอัตโนมัติ

ไฟท้าย LED Rear Lamps

โดยไฟหน้าและไฟท้ายออกแบบให้เรียวเล็กลง ซึ่งเป็นพิมพ์นิยมของรถรุ่นใหม่ๆ ของทุกค่ายก็ว่าได้

ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว

ระบบเปิดประตูอัจฉริยะ (Smart Entry) สามารถปลดล็อกประตูอัตโนมัติ

ภาพรวมดูเรียบหรู

ส่วนรุ่น “GR-Sport” เสริมหล่อด้วยสเกิร์ตหน้า / สเกิร์ตข้าง / สเกิร์ตหลัง / สปอยเลอร์หลัง

 

ภายในเน้นโทนดำตัดด้วยสีเงินแซมในบางจุด และสีเปียโนแบล็ก

พวงมาลัยหนังสีดำทรงดูเรียบๆ พร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น

มาตรวัดเรืองแสงแบบ Optitron พร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบสีขนาด 7 นิ้ว มีหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบสีบนกระจกหน้ารถ

หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้วรองรับ Apple CarPlay พร้อมระบบนำทาง Navigator รองรับ T-CONNECT ลำโพง 6 จุด

ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ มีกรองอากาศภายในห้องโดยสารสร้างโมเลกุลน้ำล้อมรอบประจุลบ เพื่อขจัดกลิ่นและยับยั้งเชื้อโรค และมีช่องปรับอากาศสำหรับที่นั่งด้านหลัง ซึ่งมีให้ในทุกรุ่นย่อย

ระบบสตาร์ตอัจฉริยะ แท่นชาร์จไฟแบบไร้สาย กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ ม่านบังแดด

ส่วนตัวแต่งพิเศษ “GR-Sport” ได้เบาะหนังคู่หน้าทรงสปอร์ตดีไซน์สีดำตกแต่งสีแดง และ Paddle Shift ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย

แป้นเกียร์ออกแบบให้จับกระชับมือ พร้อมปุ่มเปลี่ยนโหมดการขับขี่ ระบบ Auto Brake Hold ระบบหน่วงแรงเบรกอัตโนมัติ และ Electric Parking Brake ระบบเบรกมือไฟฟ้า

เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า พร้อมปุ่มปรับดันหลังไฟฟ้า เบาะหลังพับได้ (60:40) พร้อมที่วางแขนและวางแก้วน้ำ

มีช่องต่อยูเอสบีด้านหน้า และช่องชาร์จแบตผ่านยูเอสบีในกล่องเก็บของ

แท่นชาร์จไฟแบบไร้สาย

 

เครื่องยนต์ 3 บล็อก เริ่มจาก 1ZR-FBE แบบ 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว 1,598 ซีซี เกียร์อัตโนมัติ SUPER CVT-i 7 สปีดพร้อม Sequential Shift 125 แรงม้า ที่ 6,050 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 156 นิวตัน-เมตร ที่ 5,200 รอบต่อนาที

เครื่องยนต์ 2ZR-FBE แบบ 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว 1,798 ซีซี เกียร์อัตโนมัติ SUPER CVT-i 7 สปีดพร้อม Sequential Shift 140 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 177 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที

และสุดท้าย เครื่องยนต์ 2ZR-FXE แบบ 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว 1,798 ซีซี พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า และเกียร์ E-CVT ขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริดเจเนอเรชั่นที่ 4 กำลังสูงสุด 98 แรงม้า ที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิด 142 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600 รอบต่อนาที

มอเตอร์ไฟฟ้า 53 กิโลวัตต์ ทั้ง 2 ระบบร่วมกันให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า

มิติตัวถัง รุ่นไฮบริด (กว้าง x ยาว x สูง) 1,780 x 4,630 x 1,455 ม.ม. ส่วนรุ่น 1.6 และ 1.8 กว้าง-ยาวเท่ากัน แต่ความเตี้ยน้อยกว่านิดหน่อย อยู่ที่ 1,435 ม.ม.

ระบบรองรับด้านหน้า อิสระแม็กเฟอร์สันสตรัต พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังอิสระแบบปีกนกคู่ พร้อมเหล็กกันโคลง

ดิสก์เบรก 4 ล้อ

 

ระบบความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกจัดมาแน่นคัน อาทิ กล้องมองภาพขณะถอยหลัง ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน

ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง สัญญาณเตือนกะระยะท้ายรถ ระบบแจ้งเตือนเมื่อลมยางผิดปกติ

ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ระบบควบคุมการทรงตัว ระบบป้องกันล้อล็อก ระบบกระจายแรงเบรก ระบบเสริมแรงเบรก

ถุงลมเสริมความปลอดภัยระบบ SRS 7 ตำแหน่งทุกรุ่น

สัญญาณไฟฉุกเฉินขณะเบรกกะทันหัน ระบบป้องกันการโจรกรรม Immobilizer

ส่วนรุ่นท็อปเครื่องยนต์ไฮบริด เหนือชั้นขึ้นไปอีกเพราะมีระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ DRCC ซึ่งจะปรับความเร็วรถตามคันหน้ากระทั่งหยุดนิ่ง และออกตัวเองเมื่อรถคันหน้าขยับออกไป

ระบบความปลอดภัยก่อนการชน ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมพวงมาลัยหน่วงกลับอัตโนมัติ ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่กลางเลน

สนนราคา รุ่น 1.8 ลิตรไฮบริด มี 3 รุ่นย่อย 939,000-1,099,000 บาท

รุ่น 1.8 ลิตร (GR-Sport) 999,000 บาท

1.6 G ราคา 869,000 บาท

และ Limo ราคา 829,000 บาท