ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 กันยายน 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
สุจิตต์ วงษ์เทศ
บิดาสุนทรภู่ บวชการเมือง
สืบเนื่องกรณีพระเจ้าตาก
“ประวัติสุนทรภู่” ในหนังสือเรียนเป็นข้อมูลคลาดเคลื่อน ได้แก่
บิดาสุนทรภู่บวชอยู่เมืองแกลง (จ.ระยอง) เพราะเป็นชาวบ้านกร่ำ เมืองแกลง แล้วมีเหตุต้องหย่ากันกับมารดาสุนทรภู่ ซึ่งเป็นความเข้าใจแพร่หลายในหมู่คนทั่วไปตามตำราของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ได้จากพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มีข้อความโดยย่อ ดังนี้
“บิดาของสุนทรภู่เป็นชาวบ้านกร่ำ ในเขตอำเภอเมืองแกลง แขวงจังหวัดระยอง ฝ่ายมารดาเป็นชาวเมืองอื่น มาอยู่ด้วยกันในกรุงเทพฯ เกิดสุนทรภู่เมื่อสร้างกรุงรัตนโกสินทร์แล้วได้ 4 ปี แล้วบิดามารดาหย่ากัน บิดากลับออกไปบวชอยู่เมืองแกลง…”
[สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์ไว้ใน “ประวัติสุนทรภู่” พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2465]
ข้อมูลใหม่ ไม่เหมือนเดิม
ประวัติสุนทรภู่ไม่เหมือนเดิม เพราะพบหลักฐานใหม่ต่างไปจากพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ ดังนี้
- บิดาและมารดาของสุนทรภู่มีถิ่นกำเนิดอยู่อยุธยา แต่เป็นเชื้อสายพราหมณ์ เมืองเพชรบุรี สุนทรภู่เขียนบอกไว้ด้วยตนเองในนิราศเมืองเพชร (ฉบับตัวเขียนบนสมุดข่อย) ที่เก็บไว้ในหอสมุดแห่งชาติ (มีในงานวิจัยของ อ.ล้อม เพ็งแก้ว นักปราชญ์เมืองเพชรบุรี)
- หลังกรุงแตก พ.ศ.2310 บิดามารดาของสุนทรภู่โยกย้ายจากอยุธยาไปอยู่บางกอก ต่อมาได้รับราชการใกล้ชิดเจ้านายในวังหลังสมัย ร.1 ดังนั้น สุนทรภู่เกิดในวังหลัง กรุงเทพฯ (ปากคลองบางกอกน้อย ปัจจุบันเป็นที่ตั้งโรงพยาบาลศิริราช) สุนทรภู่เขียนบอกไว้ด้วยตนเองในนิราศหลายเรื่อง เช่น นิราศสุพรรณ เป็นต้น
- บิดาสุนทรภู่บวชอยู่เมืองแกลง ด้วยเหตุผลทางการเมือง สมัย ร.1 และไม่เคยพบหลักฐานการหย่าร้างของบิดากับมารดาสุนทรภู่
การเมืองที่เมืองแกลง
เมืองแกลง (อ.แกลง จ.ระยอง) ก่อนสมัยกรุงธนบุรี เป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากร “ของป่า” และแร่ธาตุ จึงคับคั่งด้วยบ้านเรือนของผู้คนไพร่บ้านพลเมือง (ส่วนมากเป็นพวกชอง พูดตระกูลภาษามอญ-เขมร)
สมัยกรุงธนบุรี มีพระสงฆ์ผู้ใหญ่รูปหนึ่งจากเมืองแกลงได้รับยกย่องเป็นสมเด็จพระสังฆราช ต่อมารู้จักทั่วไปในนาม “สังฆราชชื่น” มีส่วนสำคัญสร้างสมให้ทั้งภิกษุและไพร่บ้านพลเมืองของเมืองแกลงร่วมกันภักดีเลื่อมใสอย่างยิ่งต่อพระเจ้าตาก
เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป พระเจ้าตากถูกกำจัด ส่วนสังฆราชชื่นถูกปลดลดชั้นลงเป็นรองสังฆราช ย่อมส่งผลกระทบกระเทือนสภาพจิตใจของบรรดาภิกษุสงฆ์กับไพร่บ้านพลเมืองที่เมืองแกลงตอนนั้น (บางทีจะมีลักษณะกระด้างกระเดื่อง แต่ไม่พบหลักฐาน)
ราชสำนักกรุงรัตนโกสินทร์ที่เพิ่งสถาปนา ต้องสนใจเป็นพิเศษต่ออารมณ์และความรู้สึกนึกคิดทั่วไปในเมืองแกลง จึงชวนสงสัยว่าจะเป็นเหตุสำคัญที่บิดาสุนทรภู่ออกบวช แล้วได้รับแต่งตั้งจากทางการครั้งนั้นให้มีสมณศักดิ์สูงเพื่อทำหน้าที่พิเศษอย่างใดอย่างหนึ่งที่ได้รับมอบหมายจากทางการ (เช่น เกลี้ยกล่อม, ไกล่เกลี่ย, ปรองดอง เป็นต้น)
โดยดูจากสุนทรภู่เมื่อแต่งนิราศเมืองแกลง คราวเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปหาบิดา ว่า “ถ้าเจ้านายไม่ใช้แล้วไม่มา” เป็นพยานว่างานทั้งหมดได้รับมอบหมายจากราชการ ตั้งแต่บิดาสุนทรภู่ออกบวช จนถึงสุนทรภู่เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปเมืองแกลง ล้วนเป็นงานการเมือง “ราชการลับ” ของราชสำนักตอนนั้น
บิดาสุนทรภู่ สำเร็จหรือล้มเหลวในการทำ “ราชการลับ”? ไม่พบหลักฐาน
สังฆราชสมัยพระเจ้าตาก จากเมืองแกลง เมืองระยอง
สังฆราชชื่น จากเมืองแกลง เป็นสังฆราชองค์ที่ 3 ปลายแผ่นดินพระเจ้าตาก
- เดิมเป็นพระครูอยู่เมืองแกลง (จ.ระยอง) น่าเชื่อว่าอยู่วัดราชบัลลังก์ฯ ต่อมาพระเจ้าตากอาราธนาเข้าไปเป็นพระราชาคณะที่พระโพธิวงศ์ เจ้าอาวาสวัดหงส์รัตนาราม คลองบางกอกใหญ่ (คลองบางหลวง)
- เมื่อยึดได้เมืองสวางคบุรี (เมืองฝาง) อุตรดิตถ์ โปรดให้อาราธนาพระโพธิวงศ์ขึ้นไปจัด “สังฆมณฑลข้างฝ่ายเหนือ” อยู่ที่เมืองศรีพนมมาศ (เมืองทุ่งยั้ง) และเมืองพิษณุโลก
- เมื่อพระเจ้าตากมีสัญญาวิปลาส เป็นผู้ยอมถวายบังคมพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงได้เป็น “สมเด็จพระสังฆราช” กรมดำรงฯ เล่าว่า “เห็นจะได้เป็นพระอุปัชฌาย์” เมื่อพระเจ้าตากทรงผนวช ตามที่เจรจากับพระยาสรรค์เป็นขบถล้อมพระราชวัง
- ร.1 หลังปราบดาภิเษก ไม่โปรดสังฆราชชื่น แต่เนื่องเพราะมีความรู้ความสามารถ ให้ลดลงชั้นหนึ่งเป็นรองสังฆราช ว่าที่ “พระพนรัตน” เจ้าอาวาสวัดหงส์ฯ การที่ไม่ “จับสึก” สังฆราชชื่น ชวนสงสัยว่า ร.1 จะทรงรู้เบื้องลึกและทรง “เข้าใจ” สถานการณ์ทะลุปรุโปร่ง
- ต่อมาถูกลดชั้นลงอีกเป็น “พระธรรมไตรโลก” ผู้ช่วยสมเด็จพระสังฆราช ชำระพระไตรปิฎก เมื่อทำสังคายนา
- ปลายแผ่นดินพระเจ้าตาก เกิดความแตกร้าวในองค์การปกครองคณะสงฆ์ ต้นแผ่นดิน ร.1 จำเป็นต้องรับสังฆมณฑลที่แตกร้าว (สมัยพระเจ้าตาก) มาไว้จัดการด้วย
พระพนรัตน (ชื่น)
พระธรรมธิราราชมหามุนี ว่าที่พระพนรัตน วัดหงส์ฯ นามเดิมว่า ชื่น เกิดในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ เมื่อ ณ วันอังคาร เดือน 8 แรม 11 ค่ำ ปีระกา จุลศักราช 1091 พ.ศ.2272
เข้าใจว่าเดิมเป็นที่พระสังฆราชอยู่เมืองแกลง ด้วยนามธรรมธิราราชมหามุนีนี้ในทำเนียบสมณศักดิ์ครั้งกรุงเก่า เป็นตำแหน่งพระสังฆราชเมืองแกลง พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงตั้งเป็นพระราชาคณะที่พระโพธิวงศ์อยู่วัดหงส์ฯ
เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีได้เมืองสวางคบุรีโปรดให้อาราธนาขึ้นไปจัดสังฆมณฑลข้างฝ่ายเหนืออยู่ที่เมืองศรีพนมมาศคราวหนึ่ง
เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีมีสัญญาวิปลาส เป็นผู้ยอมถวายบังคมพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช
ต่อมาเมื่อพระยาสรรค์เป็นขบถเข้าล้อมพระราชวัง พระเจ้ากรุงธนบุรีให้หัวหน้าออกไปเจรจากับพระยาสรรค์ พระยาสรรค์ให้พระเจ้ากรุงธนบุรีออกทรงผนวช สมเด็จพระสังฆราช (ชื่น) เห็นจะได้เป็นพระอุปัชฌาย์
ถึงรัชกาลที่ 1 ทรงพระราชดำริว่า พวกพระสงฆ์ที่ยอมถวายบังคมพระเจ้ากรุงธนบุรีเป็นแต่ด้วยลุแก่อำนาจภยาคติเป็นประมาณ แลสมเด็จพระสังฆราช (ชื่น) นี้ รู้พระไตรปิฎกมากอยู่จึงโปรดแต่ให้ลดลงชั้นหนึ่ง เป็นพระธรรมธิราราชมหามุนีว่าที่พระพนรัตน รองสมเด็จพระสังฆราชลงมา
ต่อมาถวายพระพรว่าไม่ควรพระราชทานปัจจัยมูลเป็นนิตยภัตแก่พระสงฆ์ ด้วยพระสงฆ์รับเงินต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ทรงเชื่อฟังให้เลิกจ่ายเงินนิตยภัตเสีย พระราชทานกัปปิยจังหันแทน
ครั้นต่อมาปรากฏว่า พระธรรมธิราราชมหามุนีเอาผ้าส่านของพระราชทานเป็นเครื่องยศไปขายเอาเงิน ทรงขัดเคืองจึงให้ลดลงเป็นธรรมไตยโลกอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเป็นพระธรรมไตรโลกได้เป็นผู้ช่วยสมเด็จพระสังฆราชชำระพระไตรปิฎกเมื่อทำสังคายนาด้วย
[จากหนังสือ เรื่องตั้งพระราชาคณะผู้ใหญ่ในกรุงรัตนโกสินทร์ เล่ม 1 พระนิพนธ์กรมพระสมมตอมรพันธุ์ และสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กรมศิลปากร พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2545 หน้า 52]