บิ๊กตู่-มิสเตอร์บีน | โดย ‘มนัส สัตยารักษ์’

ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยอมรับผิด

นั่นคือกรณีที่ถูกกล่าวหาว่านำคณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณแล้วกล่าวคำถวายสัตย์ไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ โดยขาดสาระสำคัญ…”ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”

ผมไม่เคยเห็น พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับผิดในกรณีอื่นๆ แต่อย่างใด ที่เห็นจนชินตาเป็นเรื่องที่ท่านโต้เถียงอย่างฉุนเฉียวและเกรี้ยวกราด (ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้มีใครกล่าวหาอะไร (ฮา))

อย่างไรก็ตาม ก่อนจะยอมรับผิด ก็มีการออกตัว พลิ้ว แถ และตีความเฉไฉ จากคนรอบข้าง แม้แต่นายกฯ เองก็แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ ว่า “ทุกอย่างเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ…ซึ่งตรงนั้นก็เสร็จไปแล้ว เดี๋ยวคงเรียบร้อย เพราะไม่ได้มีเจตนาที่จะทำผิด…เขาดูกันที่เจตนา”

ตามด้วยเสียงเรียกร้องให้ “จบ” แต่ไม่เป็นผล นายกฯ ก็หลีกเลี่ยงที่จะตอบกระทู้ในสภา จึงเดาว่าสุดท้ายเรื่องคงจะไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญ

ในฐานะที่เคยทำการสอบสวนผู้ต้องหามาก่อน ผมอดที่จะวิเคราะห์ไม่ได้ว่า กรณี พล.อ.ประยุทธ์ข้ามคำสัตย์ปฏิญาณ 1 บรรทัดไปนั้น เป็นเจตนาหรือไม่เจตนา

ในประโยคที่ข้ามไปนั้นมีคำกริยา หรือ verb อยู่ 2 คำ คือ “รักษา” กับ “ปฏิบัติตาม”

ที่ผ่านมา 5 ปีในรัฐบาลที่แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ทำกริยาทั้ง 2 ประการ เพราะไม่มีรัฐธรรมนูญให้รักษา และไม่มีรัฐธรรมนูญให้ต้องปฏิบัติตาม!

เป็นไปได้อย่างสูงที่ คสช.ระดับสูงสุด (ซึ่งต่างก็เคยถวายสัตย์ในฐานะต่างๆ มาก่อนแล้ว) จะคุยกันถึงประเด็นนี้ (อาจจะกึ่งทีเล่นกึ่งทีจริง) แล้วก็รวมหัวกันตัดประโยคที่ว่าออกไป เพราะเจตนาจะ “ไม่รักษาและไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” อยู่แล้ว

ผมคิดว่าผมวิเคราะห์ตรงนี้ไม่ผิด ถ้าเราจะหวนกลับไปทบทวนถึงคำพูดของ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า “ไม่ตอบแล้ว มันผ่านไปแล้ว…วันหนึ่งจะรู้เองว่าทำไมไม่ควรพูด”

รองฯ วิษณุไม่เครียดนะครับขณะที่ตอบคำถามสำคัญนี้!

ครับ สุมหัวกัน “เขียนบท” ใหม่ให้นายกรัฐมนตรีเอาไปอ่านถวายสัตย์นั่นเอง

อย่าลืมว่า คสช.ระดับหัวกะทิล้วนแต่เคยผ่านการ “ถวายสัตย์ปฏิญาณ” ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาแล้ว (โดยเฉพาะ ดร.วิษณุ หลายครั้งในฐานะรองนายกรัฐมนตรี) ทุกคนต่างแสดงความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัวเสมอมา และต่างก็ตระหนักดีว่า การฝ่าฝืนคำปฏิญาณนั้น ผลบั้นปลายเป็นอย่างไร!

พวกเขา (ครม.) ต่างตระหนักดีถึงพระบารมีของพระเจ้าอยู่หัว

แล้ววันหนึ่งจะรู้เองว่าทำไมไม่ควรพูด

อาจจะมีข้อสงสัยว่าเหตุใด พล.อ.ประยุทธ์จึงกล้าหาญชาญชัย กล้าตัดคำสัตย์ปฏิญาณที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญออก?

ตรงจุดนี้ถ้าเราจะย้อนไปดูพฤติกรรมของ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่เป็นนายกรัฐมนตรีชุด คสช.1 จะเห็นได้ว่าตลอดเวลา 5 ปี ช่างกล้าที่จะทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ไม่หยี่หระเรื่องอื้อฉาวคอขาดบาดตาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพฤติกรรมของพี่น้องที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเรื่องนาฬิกายี่สิบกว่าเรือนที่รองนายกรัฐมนตรีร่วมคณะไม่ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สิน รวมถึงเรื่องเก่าครั้งยังเป็นทหาร ไม่ว่าจะเรื่องเครื่องตรวจวัตถุระเบิด GT200 หรือเรือเหาะหมดอายุ ที่ผลการตรวจสอบเอาผิดใครไม่ได้ แถม พล.อ.ประยุทธ์ยังได้คำการันตีจาก “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ว่า “นายกฯ ตู่โปร่งใส”

วิธีการทำงาน (modus operandi) ที่ปล่อยให้เรื่องวิกฤตเงียบหายไปเองโดยรอคอยอย่างอดทนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อจบลงอย่างปลอดโปร่งอย่างนี้ ย่อมทำให้เจ้าตัวได้ใจและติดใจ เมื่อมีวิกฤตใหม่ก็จะทำซ้ำในแนวเดิม ด้วยความคิดเดิม พร้อมกับความเชื่อมั่นเดิม

modus operandi ภาษาตำรวจไทยเขาเรียกว่า “แผนประทุษกรรม” นะครับ

เมื่อตอนที่ผมกลับมาท่องโลกไซเบอร์ใหม่ๆ ผมพบภาพใบหน้าของ พล.อ.ประยุทธ์คู่กับภาพใบหน้าของมิสเตอร์บีน (Mr.Bean) ละครตลกดังสัญชาติอังกฤษ เป็นภาพที่ดึงดูดใจอย่างยิ่ง

เพราะทั้งสองต่างอยู่ในมุมเดียวกัน แอ๊กชั่นคล้ายกัน สีหน้าบอกอารมณ์เหมือนกัน ผมจึงก๊อปไว้ด้วยความชำนาญ และนานจนจำไม่ได้ว่าเป็นภาพจากที่ไหน (จึงขออนุญาตใช้และขอขอบคุณเจ้าของภาพไว้ ณ ที่นี้ด้วย)

ผู้แสดงเป็น “มิสเตอร์บีน” ชื่อโรแวน แอตคินสัน (Rowan Atkinson) เป็นทั้งนักแสดงและนักเขียนบทละครซิตคอม ทุกเรื่องของเขาดังมาก “มิสเตอร์บีน” มีหลายชิ้น ผลิตออกมาเป็นระยะ เป็นที่นิยมในเมืองไทยที่ผู้คนชอบ “ตลกคลายเครียด”

เมื่อนานมาแล้วผมเคยดูหนังที่โรแวนเล่นสมัยยังหนุ่ม เล่นเป็นตัวรอง เป็นหนังสไตล์อัศวินโบราณและไม่ใช่หนังตลก เขาเป็นนักแสดงที่ดี เชื่อว่าเขาเข้าสู่วงการด้วยความสามารถทั้งในการแสดงและการเขียนบท

โรแวนเขียนบท “มิสเตอร์บีน” เอง โดยร่วมกับนักเขียนบทคนอื่นๆ อีกหลายคน เช่นเดียวกับบ๊อบ โฮป (Bob Hope) ดาราและนักเขียนชาวอเมริกัน ซึ่งแสดงหนังและละครมากว่า 50 ปี ที่จ้างนักเขียนบท คนคิดแก๊ก รวมทั้งคนสร้างบทพูด (dialogue) ด้วยราคาค่าจ้างสูงลิ่ว

บทของหนัง “มิสเตอร์บีน” ว่ากันอันที่จริงก็คล้ายกับบทละครตลกสั้นๆ ทั่วไป กล่าวคือ เป็นเรื่องของคนที่ทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก ในทำนองกลับกัน บางเรื่องก็ทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่

ทุกเรื่อง “ความเสียหาย” จะบานปลายเสียจนใช้คำว่า “ฉิบหายวายป่วง” ได้อย่างไม่ขัดความรู้สึก มันเสียหายเสียจนคนดูหัวเราะน้ำหูน้ำตาไหล

แต่อย่างไรก็ตาม ตอนจบดูเหมือนตัวมิสเตอร์บีนไม่ได้เดือดร้อนอะไรด้วยเลย!

ผมเขียนถึง “มิสเตอร์บีน” ควบคู่ไปกับเขียนถึง “บิ๊กตู่” ไม่เพียงแต่บิ๊กตู่ชอบทำหน้ายิ้มคล้ายกับมิสเตอร์บีนเท่านั้น แต่ยังชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ และทำเรื่องใหญ่ให้ดูเหมือนเรื่องเล็กเหมือนในหนังอีกด้วย!

ในยุคของประยุทธ์ 1 พล.อ.ประยุทธ์อ้าง “ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง” เป็นเสมือนตัวประกัน จนสามารถครองอำนาจได้ถึง 5 ปี

ในยุคของประยุทธ์ 2 พล.อ.ประยุทธ์อ้าง “เศรษฐกิจชาติตกต่ำ” เป็นเรื่องด่วนกว่าการแก้รัฐธรรมนูญ (ซึ่งจ้างคนเขียนด้วยราคาแพงกว่าที่บ๊อบ โฮป จ้างคนเขียนบท)

และแน่นอนว่าการรักษาและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ย่อมเป็นเรื่องเล็กกว่าเรื่องเศรษฐกิจในสายตาและความรู้สึกของประชาชนที่ไม่สนใจการเมือง