ทวีปที่สาบสูญ : ฉันรู้แล้วว่าฉัน…โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ฝนคงยังตกอยู่สินะ ฉันได้ยินเสียงเปาะแปะบนหลังคา เข้าถึงหน้าหนาวแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงมีน้ำฟ้าโปรยปรายยาวนานขนาดนี้

ขยับตัว รู้สึกชาที่ฝ่ามือและข้อแขน เหมือนนอนทับตัวเองเอาไว้ และเพิ่งรู้สึกว่าหนาวเย็นขึ้นมาจับใจ

มือควานไปหาผ้าห่ม…ไม่มี…พลันรู้สึกตัว

รีบผุดลุกขึ้นนั่ง พบว่าทั้งห้องยังคงว่างเปล่าและเงียบงัน มีเพียงตัวฉันกับผนังแปลกหน้า สายตาไม่เห็นอะไรมากไปกว่าความมืด

เป็นยามดึกดื่นค่ำคืน

อัมพรไม่ได้กลับมา

 

เสียงทุบประตูดังขึ้นในตอนสาย ขณะยังนอนหงายลืมตามองฝ้าเพดานอยู่ ฉันเห็นรูรั่วเล็กๆ ที่ทำให้มีหยดน้ำทะลุใต้ฝ้า วงกว้างสีน้ำตาลแผ่ออกเหมือนระลอกคลื่นจางๆ มันคงเป็นคราบเชื้อรา

“อีเน! ตื่นหรือยัง!”

ไม่รอฟังคำตอบ มีเสียงดังแก๊ก

ฉันเด้งตัวลุกทันควัน พร้อมกันกับที่แสงข้างนอกสาดเข้ามาจนเจิดจ้า หน้าช่องกรอบประตู อีพี่สร้อยสายยืนบังเงา มองเข้ามา ผมสีทองต้องแดดเป็นประกาย

“นอนขี้เซาเหมือนเดิมนะมึง”

พูดแล้วเดินฉับเข้ามากลางห้อง มองไปรอบๆ

“ห้องอยู่สบายดีนี่”

ฉันรีบกระโจนลงจากเตียง ใจหล่นวูบ จะมีร่องรอยอะไรเหลือบ้างมั้ย

…แต่ก็ไม่มีอะไร เหมือนทุกสิ่งแค่ฝัน

มีเพียงฉันกับห้องแคบยาว เดินเพียงสองสามก้าวก็ถึงผนัง

“ข้าวของมึงอยู่ข้างหน้า ทำไมไม่รู้จักเก็บเข้ามา เปียกหมดแล้วมั้ง”

ฉันมองชะเง้อข้ามไหล่ กลั้นใจ หวังว่าจะเห็น…แต่ก็ไม่มีใครอีก

“…อัมพรล่ะ”

ถามแล้วก็ใจเต้นขึ้นวูบหนึ่ง

“ไม่ต้องพูดถึงมันอีก อีน้องชาติหมา!” อีพี่สร้อยสายด่าออกมาทันที “คนมันไม่รักดี อยู่ที่ไหนก็ไม่เจริญหรอก อีน้องเนรคุณ!”

ใจฉันหายวาบ อัมพรไปแล้วหรือ…หล่อนไปไหน หล่อนไปได้อย่างไร

หล่อนทิ้งฉันไว้เพียงลำพังตลอดทั้งคืน…

หล่อนทิ้ง…จริงๆ ด้วย

 

ร้านขายของแห่งนั้น ตั้งอยู่บนลานไหล่เขา หันหน้าเข้าหาทางเดินลาดยางสีเทา ส่วนด้านหลังดั่งเป็นหุบเหว แลเห็นยอดพุ่มไม้ลดหลั่นกันลงไป ซ้ายและขวามีต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งกว้าง ราวระเบียงทำด้วยไม้ปีกตีหยาบๆ ด้านในตั้งโต๊ะเก้าอี้ไว้สองสามชุด ทำเป็นม้านั่งยาวก็มี ส่วนด้านหน้าตั้งเตาตั้งกระทะ กับตั้งกาน้ำชงกาแฟ

อีพี่สร้อยสายสั่งงานอย่างแคล่วคล่อง บอกให้รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง หนึ่งสองสามสี่ หน้าที่ของฉันคือการเฝ้าร้านแห่งนี้ ทำงานเท่าที่จะมีให้ทำ ต้องทำให้ได้ทุกอย่าง

ร้านเคยมีลูกจ้างมากที่สุดถึงสี่คน ในหน้าฤดูกาลท่องเที่ยว แต่อยู่ไม่ทนสักราย งานไม่ได้หนัก รายได้ก็จ่ายงามๆ อีพี่สร้อยสายพรรณนาเช่นนั้น แต่ถึงวันนี้ ก็มีเพียงฉันกับลูกจ้างอีกคน

เด็กผู้หญิงวัยใกล้กัน แต่แววตาดูซื่อเซอะโง่งมเสียยิ่งกว่าฉัน เหมือนจะระแวงหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา

ชื่อว่า พะนา

“พะนามันมาเช้าเย็นกลับ ส่วนมึงอยู่ประจำที่นี่” อีพี่สร้อยสายพูด “ชั้นกับพี่ตู่จะมาวันที่มีนักท่องเที่ยว”

ถ้าอยู่ต่อหน้าคนอื่น อีพี่สร้อยสายจะเปลี่ยนสรรพนามตัวเอง

“วันธรรมดาไม่ค่อยมีคนหรอก แต่ถึงมีไม่มี มึงก็ต้องลุกมาเปิดร้านเอาไว้ คนสองคนมาซื้อก็ต้องขาย น้ำชงกาแฟต้องต้มเอาไว้อย่าให้ขาด…เข้าใจมั้ย!”

ทำไมจะไม่เข้าใจ เก็บกวาดร้านไป อีพี่สร้อยสายก็กรอกคำพูดเข้าหูอยู่ตลอดเวลา

พะนาสวมกระโปรงสั้นแค่เข่า ผมเต่อใกล้หู สวมสร้อยสายผ้าร่มสีดำ ห้อยจี้อะไรสักอย่าง คล้ายขนสัตว์อยู่ในกรอบเลี่ยมพลาสติกเล็กๆ ตากลมโตคอยจับจ้องอีพี่สร้อยสาย

และกระวีกระวาดทำตามทุกคำสั่ง

ฉันกับพะนาเป็นลูกจ้างสถานะเท่ากัน

แต่ฉันกินเงินรายเดือน พะนากินเงินรายวัน นางเจ้าของร้านบอกเช่นนั้น

“มึงสองคนต้องคอยดูกันด้วยนะ ใครวอก ใครขี้คร้าน เก็บความมาบอกกูดีๆ จะมีรางวัลให้”

ฉันนึกเกลียดชังปากสีแดงนั่นจับใจ อีพี่สร้อยสายพูดพลางย่างเยื้องราวเทพธิดา รถกระบะจอดรออยู่ไกลๆ คุณตู่สวมแว่นดำยืนพิงข้างตัวถัง

อีพี่สร้อยสายขึ้นมาใหม่ในยามเช้า เอาข้าวของใส่หลังรถมาอีกจำนวนหนึ่ง ส่วนที่เอามาก่อนหน้าลำเลียงมายังร้านหมดแล้ว

มีเพียงถุงข้าวของของฉัน ฉีกเปื่อยและเปียกชุ่ม ถึงจะเอากระดาษลังเก่าๆ คลุมให้ ก็ไม่ต่างไปจากกองขยะ

 

แต่ถึงจะยุ่งและรำคาญอีพี่สร้อยสายแค่ไหน ก็ยังเหมือนสายลมผ่านหูซ้ายหูขวา ตลอดเวลาที่ทำสิ่งต่างๆ ไปตามคำสั่ง ใจฉันคอยแต่จะมองไป…มองไกล โดยปราศจากจุดหมาย

อัมพรทำได้อย่างไร

หล่อนทิ้งฉันไว้เพียงลำพังในห้องซอมซ่อแห่งนั้น

ประตูก็ไม่ได้ลงกลอน

หล่อนแค่ลุกจากเตียงนอน แล้วหายจากไป

ชาติหมา!

“พะนา!”

ยินเสียงอีพี่สร้อยสายตะโกนเรียก

“เอาไม้กวาดมาทางนี้หน่อย”

พะนารีบจ้ำเท้าไปหาในทันที

“อีพี่!”

ฉันขยับตัว

“เก็บของในตู้แล้วก็มาทางนี้!”

ร้านเพียงเล็กๆ เอง แต่เหมือนมีงานต้องทำไม่รู้จบสิ้น อีพี่สร้อยสายสั่งให้ทำความสะอาดครั้งใหญ่ จัดเตรียมข้าวของเอาไว้ นางว่า นับแต่พรุ่งนี้ไป นักท่องเที่ยวจำนวนมากมายจะหลั่งไหลเข้ามา

 

ท้องฟ้าหลังฝนตกสวยงามยิ่งนัก มีก้อนเมฆขาวฟูๆ ดูชื่นตา ท้องฟ้าที่มองจากบนเนินสูง ยิ่งเหมือนโปร่งสูงและสว่างไสว แดดสาดแสงไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ยอดไม้เขียวงาม และทุกแปลงดอกไม้ที่อยู่รอบๆ ก็พร้อมใจกันอวดสีสัน

กระจะกระจ่างตา

แต่ว่า มันคงจะดีกว่านี้ หากสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วข้ามคืนจะไม่รบกวนฉัน

อีนังชั่วช้า

อีชาติวอกห่าปัก!

ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่มีคนทำให้เจ็บใจ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันปล่อยใจและปล่อยตัวขนาดนี้

ใช่จะคาดหวังอะไร

แค่สิ่งที่หล่อนทำกับฉัน มันมากเกินไป

มากเกินไป

“พะนา!” ท่ามเสียงอีพี่สร้อยสายที่ดังอยู่ไม่หยุดหย่อน “มึงเอาสตางค์ไปซื้อของที่ร้านข้างล่างหน่อย!”

กี่โมงกี่ยามแล้วไม่รู้ได้ ท้องฉันไม่หิวและปากไม่อยากอันใด

“อีพี่ เหม่ออะไรอีกแล้ว! มานี่! ”

 

…วาดรูปให้เป็นรูป

หวังไว้จูบวันอาวรณ์

ใจเธอที่ซุกซ่อน

จะวาดไว้ให้ชัดเจน

เงาใครในตาเธอ

ยามไผลเผลอเคยมองเห็น

รู้สึกอยู่ลึกเร้น

เธอซ่อนใครในแววตา

ฉันไม่เคยเห็นดอกกุหลาบที่ไหน จะบานใหญ่เท่านี้มาก่อนเลย อีกกลิ่นหอมฟุ้งจัด จนจัดร้านใกล้เสร็จ ฉันจึงค่อยรู้ว่า ที่ๆ มาอยู่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของเมืองเชียงใหม่ ใครๆ ก็อยากมา อีพี่สร้อยสายพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า คนที่มายังไงก็มีสตางค์

“อยากได้สตางค์ของพวกมัน ก็ต้องขยัน หูไวตาไว”

ฉันควรจะทำอย่างไร ให้ความร้อนทุรนข้างในเหือดหายไปได้

ไม่มีกระดาษปากกาสักอย่าง ในหัวก็ยังมีแต่ถ้อยคำหลั่งไหล

…ฉันวาดรูปดอกไม้

แต่กลับได้รูปเธอมา

วาดดาวอันพราวพร่า

กลายเป็นตาเธอยิ้มเยือน

วาดเศร้าก็เฝ้าลบ

และยิ่งพบว่าไม่เหมือน

รอยสีที่บิดเบือน

เปื้อนหยดน้ำจากที่ใด

แดดกระจะกระจ่าง

ไยมืดคว้างหนาวข้างใน

.

.

ฉันไม่ควรจะปล่อยให้อัมพรเข้าใกล้ได้ขนาดนั้น ฉันคิดว่าตัวเองฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว เติบใหญ่แล้ว แต่สุดท้ายก็ง่าวเซอะอย่างน่าอับอาย

กับคนที่ดีแสนดี อย่างพี่ฝน…อย่างนายสูรย์ ยังไม่เคยเข้ามาแผ้วพานเปลือกใจ

กับคนลิ้นสองแฉกอย่างอัมพร ทำไม…ทำไม

มีดอกไม้ตกลงมาจากฟากฟ้า

โปรยปรายลงมา

บนหลังไหล่ของฉัน

เธอยืนหัวเราะอยู่ตรงนั้น

ฉันรู้แล้วว่าฉัน…

ไม่ควรรู้จักเธอเลย