คำ ผกา | นายกฯ กับอำนาจที่ไม่เหมือนเดิม

คำ ผกา

ในขณะที่การเลือกตั้งผ่านมาแล้ว 3 เดือน เรียกได้ว่าถ้าพระเข้าพรรษาก็ถึงเวลาออกพรรษาพอดี

แต่เราก็ยังไม่มีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่จะมาบริหารประเทศ ตลกกว่านั้นคือ เรามีแล้วทั้งนายกรัฐมนตรี มีทั้งพรรคฝ่ายค้าน พรรคฝ่ายรัฐบาล สภาก็เปิดแล้ว มีการอภิปรายอะไรไปแล้ว

แต่เดี๋ยว…ไม่มี ครม.นะ

นายกฯ ก็ไม่เข้าประชุมสภาด้วย

งงไปกว่านั้น ฉันก็ไม่แน่ใจอีกว่า นายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ไปปฏิบัติภารกิจต่างๆ ตอนนี้ ท่านไปในฐานะนายกฯ คนใหม่แล้วใช่ไหม?

แต่เป็นนายกฯ คนใหม่ที่บริหารประเทศผ่าน ครม.เก่า ที่เคยอยู่ภายใต้นายกฯ ประยุทธ์คนเก่านั่นเอง

การเมืองไทยตอนนี้เลยดูประหลาดมาก

เพราะ “บอดี้” ของฝ่ายบริหารเป็น “บอดี้” เก่าของรัฐบาล คสช. รวมถึงตัวนายกฯ

แต่ดันมีสภา มี ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง แถมยังมีฝ่ายค้านที่ขยันขันแข็ง แต่เป็นความขยันขันแข็งอันไม่มีองค์กร หน่วยงานของรัฐ และราชการช่วยรับลูกเลย

เพราะองค์กร หน่วยงานภาครัฐ, องค์กรอิสระ, ภาคราชการ ยังคงเป็นแขนขาให้รัฐบาลภายใต้ คสช.อยู่

ทั้งโดยแต่งตั้งกันมา ทั้งโดยได้ประโยชน์ ทั้งโดยชื่นชมกันในทางอุดมการณ์ จึงเต็มใจเป็นแขนขาให้

ฝ่ายค้านจึงมีสภาไว้เป็นเพียงเวทีสื่อสารกับประชาชนผ่านการถ่ายทอดสด และการรายงานของสื่อ

แต่การซักฟอก ตรวจสอบ ใดๆ ในสภา หรือการยื่นหนังสือให้ตรวจสอบใดๆ จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง

เช่น การยื่นตรวจสอบเรืองการสรรหา ส.ว. ก็กลับเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้เสียอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ทำกันบนภาษีประชาชนตั้งพันกว่าล้าน

ถามว่าการที่ยื่นตรวจสอบใดๆ ไม่ได้ ไม่เป็นผล หรือให้ผลในทางที่เหลือเชื่อ (เช่น การตรวจสอบเรื่อง ส.ส.พรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลถือหุ้นสื่อ เมื่อพบก็กลับไม่ได้มีคำสั่งให้งดการปฏิบัติหน้าที่อะไร ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ธนาธรถูกตรวจสอบเรื่องถือหุ้นสื่อ ก็ถูกสั่งให้ระงับการปฏิบัติหน้าที่ หรือก่อนหน้าที่จากการตรวจสอบของ กกต. เรื่องการถือหุ้นสื่อ ก็ทำให้ผู้สมัคร ส.ส.หลายคนถูกตัดสิทธิ์ไปแล้ว) เป็นการคัดค้านที่สูญเปล่าหรือไม่?

ฉันคิดว่าไม่ และจนถึงขณะนี้ ฉันก็ยังไม่เข้าใจว่า ทำไมฝ่ายการเมืองที่พยายามจะหนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์สืบทอดอำนาจต่อไปไม่พยายามช่วยเหลือให้ พล.อ.ประยุทธ์และพวกได้อยู่ในอำนาจต่ออย่างสง่างามกว่านี้?

รัฐธรรมนูญก็ออกแบบมาแล้วว่า ฝ่าย คสช.จะได้บริหารประเทศต่อ

กกต.ก็เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว, ส.ว. 250 คนก็พร้อมเสิร์ฟ, พรรคพลังประชารัฐนั้นก็ถึงพรั่งพร้อมบริบูรณ์ทั้งทรัพย์ ปัญญา บารมี ไปจนถึงอำนาจในการไปดึงดูดคนจากทุกหนทุกแห่งมาไว้ด้วยกัน ทั้ง นปช.เก่า, ทั้งสมาชิกพรรคเพื่อไทยเก่า, ทั้ง กปปส.เก่า, ทั้งนักการเมืองลายครามท้องถิ่น, ทั้งเทคโนแครต แถมยังมีพรรคการเมืองที่ประกาศหนุน พล.อ.ประยุทธ์อย่างชัดเจนเปิดเผย อย่างพรรครวมพลังประชาชาติไทยที่คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ อุตส่าห์ไปเดินมาให้

ก่อนจะมีเลือกตั้งรัฐบาลภายใต้ พล.อ.ประยุทธ์ก็ปูพรมนโยบายที่คิดว่าจะได้ใจประชาชนไว้หมดแล้ว ตั้งแต่เรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการบ้านล้านหลัง และอีกสารพัดคำมั่นสัญญา ความพยายามลงพื้นที่ ครม.สัญจร ไปร้องรำทำเพลง พูดคุยกับชาวบ้าน แสดงความรักในเด็กและคนชรา ต่างๆ

ทำทุกอย่างแล้ว ทำแม้กระทั่งทำให้พรรคพลังประชารัฐที่มี ส.ส.เป็นลำดับที่สอง (อันต้องหมายเหตุว่าในลำดับที่ 2 ภายใต้การจัดการเลือกตั้งของ กกต.ชุดบัตรเขย่ง) กลับเป็นผู้ที่สามารถรวมเสียงเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลโดยมีทีม ส.ส.เอื้ออาทรจากพรรคเล็กเข้ามาอยู่ด้วยถึง 11 เสียง จนนำไปสู่การร่วมร่างเสียงกับ ส.ว. 249 เสียงโหวตให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี

เสี้ยนหนามแบบธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็ถูกระงับไม่ให้ทำหน้าที่ ส.ส.แล้ว สบายใจว่าจะไม่มีใครมาแย่งซีนหล่อ ช่วงชิงความนิยมมาจากคนรุ่นใหม่ได้อีก

โอ๊ยยย หนทางข้างหน้ามันควรจะราบจะรื่นจะโล่งสิ

ทําไมพรรคพวกของ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ช่วยวางแผนงานให้ พล.อ.ประยุทธ์ดีๆ ว่า นี่ล่ะคือโอกาสแท้ โอกาสทอง ที่ต้องรีบตั้ง ครม. แถลงนโยบาย เปิดซีนใหม่ฉากใหม่ให้โลกเห็นว่า นี่คือ พล.อ.ประยุทธ์ผู้เป็นนายกฯ ในระบอบประชาธิปไตยแล้วนะ

อย่างน้อยเส้นทางการเป็นนายกฯ แม้จะชวนให้ขมวดคิ้ว แต่ก็มาตามที่รัฐธรรมนูญเขียนเอาไว้น่า

หยวนๆ หน่อย เดี๋ยวจะพิส^จน์ให้ดูว่า แม้เส้นทางที่ขึ้นมาเป็นนายกฯ อาจจะแปลกๆ แต่ทำงานเป็น ทำงานเก่งนะ

พรรคร่วมรัฐบาลที่ได้ไปก็ไม่ได้ขี้ริ้วอะไร ทั้งภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา

ทำไม พล.อ.ประยุทธ์และพรรคพลังประชารัฐในฐานะแกนนำ ไม่ใช้โอกาสนี้ไปเจียระไนคนจากพรรคการเมืองเก่าแก่ โชกโชนประสบการณ์เหล่านี้ มาเป็นรัฐมนตรี, รัฐมนตรีช่วย หรือจัดแจงแบ่งหน้าที่ แบ่งงาน รีบตั้งกรรมาธิการชุดต่างๆ แล้วรีบทำงาน รีบสร้างผลงาน แทนการนั่งลบคะแนนนิยมตัวเองรายวันแบบที่เป็นอยู่

เลือกตั้งผ่านไปแล้ว 3 เดือน แต่ยังไม่มีฝ่ายบริหาร มันก็เหมือนบริษัทเปิดตัวแล้ว รับสมัครพนักงานแล้ว จ่ายเงินเดือนไปแล้วทุกวัน ทุกเดือน แต่งานยังเริ่มไม่ได้

เหมือนต้องจ่ายเงินเดือนให้คนมานั่งมองหน้ากันให้หมดวันแล้วกลับบ้าน

ที่สำคัญ นี่ไม่ใช่การเปิดบริษัท แต่ประชาชนจ่ายภาษี เพื่อให้มีการบริหารบ้านเมืองภายใต้การทำงานของรัฐสภา ที่มีสภา, มีฝ่ายรัฐบาล, มีฝ่ายค้าน อันรวมเรียกว่าฝ่ายนิติบัญญัติ, มี ครม. คือฝ่ายบริหาร และมีฝ่ายตุลาการ ทำงานถ่วงดุลกัน

ไม่เพียงแต่ถ่วงดุล การบริหารงานภายใต้ระบบสภาแบบนี้ ทำให้ทุกสิ่งอย่างของการบริหารประเทศและการใช้ภาษีประชาชนดำเนินไปภายใต้ “สายตา” ของประชาชน ไม่ใช่ลับๆ ล่อๆ ผ่านกฎหมายอะไรที่ประชาชนไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น เพราะไปผ่านกันไปสภาฝักถั่ว อย่าง สนช. แล้วมาคุยว่า เราขยันมา เราผ่านกฎหมายไปตั้งห้าร้อยกว่าฉบับ – เดี๋ยว ผลงานไม่ได้อยู่ที่ปริมาณของกฎหมาย ผลงานที่ดีของการออกกฎหมายคือ เป็นกฎหมายที่ประชาชนมีส่วนร่วมรู้เห็น ถกเถียงด้วยแค่ไหนต่างหาก

ยิ่งไปกว่านั้น ประชาชนเสียภาษีไปเพื่อจะได้ ครม. หรือฝ่ายบริหาร ที่จะคิด จะเริ่ม จะทำ จะลงทุน จะซื้อ จะขาย จะนำเข้าอะไร ประชาชนต้องได้รู้ ได้เห็น ได้ตรวจสอบ ได้คัดค้าน ได้ประท้วง ได้ถกเถียง ได้มีตัวแทนในรูปของฝ่ายค้าน เข้าไปอภิปราย ซักฟอกกันอย่างถึงพริกถึงขิงก่อน

ไม่ใช่นึกอยากจะซื้ออะไรก็ซื้อ นึกอยากจะนำเข้าขยะอะไรก็นำเข้า นึกอยากเปิดโครงการอะไรก็เปิด นึกอยากจะช่วยชาวสวนปาล์มด้วยการยกเลิกโปรลดราคาน้ำมันปาล์มขวดในห้างก็ยก นึกอยากจะลด จะเพิ่มบัตรคนจนก็ลด นึกอยากจะมีร้านค้าประชารัฐก็มี นึกอยากจะยกเว้นให้บางบริษัทสามารถเข้าไปทำอะไรในป่าสวนได้ก็ทำ นึกอยากจะกวาดล้างคนจนออกจากที่ทำกินในนามของการอนุรักษ์ป่าก็ทำ ฯลฯ

ทีนี้เมื่อมีการเลือกตั้งแล้ว สิ่งที่ประชาชนอยากเห็นเร็วๆ คืออยากเห็นฟังก์ชั่นเหล่านี้ของฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ และภาคประชาสังคมกลับมา! เพราะเราไม่ได้จ่ายภาษีไปเป็นเงินเดือนของพวกท่านให้พวกท่านมายืนเหยียบหัวเอาเท้าขยี้ลูบหน้าประชาชนไปวันๆ

เลือกตั้งแล้วควรรีบทำงาน ไม่ใช่มาซื้อเวลาไม่มี ครม. ไม่มีฝ่ายบริหาร ไม่ให้สภาได้ทำงานอย่างเต็มรูปแบบเสียที เพราะทุกๆ วันที่ผ่านไปมันคือเงินทองของประชาชนทั้งนั้น

งามหน้ากว่านั้น ในกระบวนการตั้ง ครม. ยังเต็มไปด้วย แย่ง แข่งขัน ต่อรอง เก้าอี้รัฐมนตรีกันชนิดที่ว่าไส้ใครมีกี่ขดๆ ก็ลากกันออกจนหมด

ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายที่ไปลงเรือประชารัฐด้วยกันมาทั้งนั้น ทั้งพรรคเล็กพรรคใหญ่ ทั้งมุ้งต่างๆ ในพลังประชารัฐเอง บ้างถึงกับบอกว่า ยอมกราบตีน พล.อ.ประยุทธ์ ถ้าฝ่ายตนจะได้เก้าอี้ รมต.ตามที่ตกลงกันเอาไว้

ช่วงชิงเก้าอี้ รมต.แบบฉาวโฉ่ก็ประมาณหนึ่ง

แต่อีกประมาณหนึ่งคือ ฝ่ายที่ไปผิดสัญญากับเหล่านักการเมืองที่เขาอุตส่าห์ย้ายค่ายเปลี่ยนเบอร์มาอยู่ด้วย

พอเลือกตั้งเสร็จก็จะถีบหัวเรือส่ง แล้วประเคนเก้าอี้และตำแหน่งต่างๆ ให้พวกเดียวกัน

สุดท้ายความเบาะแว้งจึงเกิดกับฝ่ายรัฐบาลที่ยิ่งแฉก็ยิ่งฉาว

ยิ่งนานวันก็ยิ่งจะเสื่อมความนิยมและความศรัทธาเพราะเหมือนได้เปลื้องเปลือยให้สังคมเห็นว่าสุดท้ายก็บัวแล้งน้ำ

ไอ้ที่ไปด่าๆ นักการเมืองไว้ในสมัยก่อนรัฐประหารนั้นมันเข้าตัวหมด

นักการเมืองฝ่ายค้านกลับเป็นฝ่ายชิงความได้เปรียบ ชิงการกุมพื้นที่ทางอุดมการณ์ประชาธิปไตย ได้ภาพพจน์สวยงามเรื่องไม่สนไม่แคร์ตำแหน่ง ไม่กระสันอยากเป็นรัฐบาลเท่ากับกระสันอยากแก้รัฐธรรมนูญเพื่อปูทางให้เป็นประชาธิปไตยเสียก่อน ซึ่งการช่วงชิงและกุมพื้นที่ที่เป็นความชอบธรรมทางการเมืองเชิงอุดมการณ์นี้สำคัญมาก และมีนักการเมืองจำนวนมากที่ฉลาดพอจะอดเปรี้ยวไว้กินหวาน อันเป็นสิ่งที่ประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยไม่เก็ต ตอนนี้ไปลงเรือพลังประชารัฐ ภาพทางอุดมการณ์ก็ไม่ได้ งานก็ไม่ได้ทำ เท่ากับไม่ได้แสดงฝีมือเสียที เสียทั้งขึ้น เสียทั้งล่อง ซึ่งถ้าเสียยี่ห้อ เสียประวัติ แล้วได้รีบทำงานได้รีบแสดงฝีมือในฐานะที่มีเก้าอี้ รมต.ในมือก็ว่าไปอย่าง อย่างน้อย หากผลงานปังจริงๆ มันก็เอาไปถัวกับภาพพจน์ที่เสียไปได้

เสียแค่นี้ไม่พอ เมื่อนักกิจกรรมทางการเมืองถูกลอบทำร้ายอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เอกชัย หงส์กังวาน มาจนถึงจ่านิว – และดันเป็นนักกิจกรรมระดับกระจ้อยร่อยทั้งหมดแล้ว จับตัวคนร้ายไม่ได้เลย ก็ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของความน่าเชื่อถือของรัฐบาลเสียหาย และก็เสียมาถึงพรรคการเมืองต่างๆ ที่ไปร่วมกับ “รัฐบาล”

ฉันคิดว่าถึงเวลาแล้วที่นักการเมืองมืออาชีพอย่างประชาธิปัตย์ กับภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา ต้องไปช่วย พล.อ.ประยุทธ์วางแผนยุทธศาสตร์ทางการเมืองแล้วว่าท่านในฐานะนายกฯ ที่ไม่ใช่นายกฯ คสช. แต่เป็นนายกฯ หลังเลือกตั้ง สิ่งที่ต้องทำมีอะไรบ้าง

ที่สำคัญ ต้องคอยสะกิดให้ท่านตระหนักหรือไม่ลืมว่าตอนนี้ท่านต้องรับผิดชอบ “นักการเมือง” ของพรรคร่วมรัฐบาลอีกตั้งยี่สิบกว่าพรรคในฐานะที่ท่านเป็น “นายกฯ”

ดังนั้น ท่านไม่สามารถเป็นนายกฯ โดยที่นักการเมืองและ ส.ส.ของพรรคร่วมเป็นคน “ตกงาน” ไปเรื่อยๆ แบบนี้ไม่ได้

เราเลือกตั้งแล้ว – นักการเมืองทั้งหลายต้องช่วยกัน “ลีด” นายกฯ หน่อยนะ เพราะในฐานะนายกฯ หลังเลือกตั้ง ท่านอาจจะไม่คุ้นว่าอำนาจมันไม่เหมือนเดิม