No future โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

สถานีคิดเลขที่12 / สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

—————–

No future

—————-

“…อุตลุด ไล่ฟ้องคดีหมิ่นเบื้องสูง ช่อ อนาคตใหม่ พล.อ.ปรีชาและภรรยา…”

อ่าน หัวข่าวสื่อออนไลน์บางสำนักข้างต้นแล้วไม่สบายใจ

ว่าที่จริง ไม่สบายใจ มาตั้งแต่อ่านคำให้สัมภาษณ์ ของนายตำรวจผู้ใหญ่ ใน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ก่อนหน้านี้แล้ว

ที่ออกมาบอกว่า “ยังไม่มีผู้ใดแจ้งความดำเนินคดี มาตรา 112 ซึ่งจะมีอายุความ 20 ปี ต่อกรณี น.ส.พรรณิการ์ พาณิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ (อนค.)”

กรณีถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมที่อาจจะกระทำความผิด ตามมาตรา 112

ทั้งที่ นายตำรวจผู้นั้น บอกเองว่าคดีมีอายุความ 20 ปี

และก่อนหน้านี้ พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผช.ผบ.ตร. ในฐานะรอง ผอ.ศปอส.ตร. ออกมาให้สัมภาษณ์

ว่าสั่งการให้ ศปอส.ตร., บก.ปอท. และตำรวจสันติบาล

เร่งตรวจสอบการแชร์ภาพในอดีตของ น.ส.พรรณิการ์ ทั้งเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และช่องทางอื่นๆ ว่าเข้าข่ายอย่างที่กล่าวหาหรือไม่

แสดงว่ามีการดำเนินการของตำรวจแล้ว

จึงจำเป็นหรือไม่ที่นายตำรวจผู้ใหญ่ ใน บก.ปอท จะออกมาบอกว่า “ยังไม่มีผู้ใดแจ้งความดำเนินคดี”

เพราะเหมือนชี้ข่องอะไรบางอย่าง

ซึ่งก็เป็นไปอย่างที่คาด

วันรุ่งขึ้น ที่ บก.ปอท. บุคคลที่อ้างตนเป็นกลุ่มฅนไทยผู้รักชาติไปร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับ น.ส.พรรณิการ์ ทันที

เท่ากับว่า จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ประชาชน ซึ่งไม่ว่าจะใช้นามว่ากลุ่มใด ตกเป็นคู่กรณีของน.ส.พรรณิการ์และพรรคอนาคตใหม่ ไปเรียบร้อย

แต่ ที่ไม่เรียบร้อย คือแทบจะทันควัน

ฝ่ายที่สนับสนุนอีกข้างหนึ่ง?

อ้างตนในนาม กลุ่มทนายปกป้องความยุติธรรมและพระพุทธศาสนา เข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ปอทให้ตรวจสอบบุคคล 2 ราย

ระบุมีภาพปรากฎตามสื่อต่างๆ ในลักษณะมีบุคคลเลียนแบบเชื้อพระวงศ์ รวมถึงอยากให้ตรวจสอบการใช้ถ้อยคำของผู้คนในโลกโซเชียลว่าเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูงหรือไม่

บุคคลที่ถูกพาดพิงถึง ไม่ใช่ใครอื่น

คือน้องชาย และน้องสะใภ้ ของนายกรัฐมนตรีนั่นเอง

อุตลุดแบบ ทีฮู ทีอิท นี้ มองเป็นอื่นใดไม่ได้

นอกจาก ภาวะบานปลายนั่นเอง

เป็นการบานปลายไปสู่ประเด็นการต่อสู้ทางเมือง ที่น่ากังวล

เพราะอาจเกิดสิ่งไม่พึงประสงค์ตามมาสามารถบิดเบือนไปเป็นเรื่องอันไม่พึงประสงค์อื่น ได้ง่าย

ยิ่งเรื่องนี้ เกี่ยวโยงกับการเมืองอยู่แล้ว และแต่ละฝ่ายก็มี”มวลชน”ที่สนับสนุนอยู่จำนวนมาก

โอกาสที่เรื่องจะลุกลามเป็นความขัดแย้งของมวลชนแต่ละฝ่ายมีมาก

แต่ก็น่าเสียดายกรณีนี้ที่ผู้รักษากฏหมาย อาจไม่ระมัดระวังเพียงพอ กลายเป็นชี้ช่องเสียเอง

ทั้งที่ ว่าที่จริงแล้ว กรณี 112 มีทิศทางที่ดีขึ้น

ตามรายงาน ของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

ระบุ ในปี 2561มีการเปลี่ยนแปลงในการบังคับใช้มาตรา 112 อย่างเห็นได้ชัดเจน

คือแทบไม่มีคดีใหม่ขึ้นสู่ศาล (เท่าที่ทราบ)

ส่วนคดีเก่ามีการยกฟ้องคดีข้อหานี้หลายคดี โดยเฉพาะที่ถูกพิจารณาโดยศาลพลเรือน

ขณะที่สำนักงานอัยการสูงสุด มีหนังสือลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2561

ให้สำนักงานอัยการที่ได้รับสำนวนคดีมาตรา 112 ส่งสำเนาการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาทันที

โดยไม่ต้องทำความเห็น

ให้อัยการสูงสุดเท่านั้นเป็นผู้พิจารณาสั่งฟ้องหรือไม่

ทำให้การดำเนินคดีมาตรา 112 รัดกุม รอบคอบ และมีจุดศูนย์รวมเดียว

ซึ่งน่าจะ เป็น “อนาคต” ที่ดีของเรื่องนี้

จึงไม่ควรมีฝ่ายใดดึงเอาเรื่องนี้มาเป็นการทำลายล้างทางการเมือง

เพราะละเอียดอ่อน

และพร้อมจะบานไปสู่ภาวะไร้อนาคต–No future ได้ง่าย!

—————-