ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 พฤษภาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | กรองกระแส |
เผยแพร่ |
กรองกระแส
อุบัติแห่งขั้วที่ 3
ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย
ประโยชน์อยู่ที่ใด
ภาพที่นายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จับมือและโอบกอดกับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกับข้อความ
“ทำงานกันอยู่นะครับ ไม่ได้มากินกันเฉยๆ”
ปรากฏขึ้นขณะที่มีข่าวว่าพรรคพลังประชารัฐต้องการดึงพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย เข้าร่วมในรัฐบาล ปรากฏขึ้นขณะที่มีข่าวว่าพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ ต้องการดึงพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย เข้าร่วมในรัฐบาล
บทสรุปร่วมในทางสังคมก็คือ การเกิดขึ้นของพรรคขั้วที่ 3 ในทางรูปธรรม นอกเหนือไปจากขั้วพรรคพลังประชารัฐ นอกเหนือไปจากขั้วพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่
ผลก็คือ การเมืองไทยเข้าสู่ยุคแห่ง “สามก๊ก” ในทางเป็นจริง
คำถามอยู่ที่ว่า ขั้วอันประกอบขึ้นของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย จะสามารถดึงพรรคใดเข้ามาร่วมได้อีก และในที่สุดแล้วขั้วอันประกอบขึ้นของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย จะตัดสินใจเข้าร่วมกับซีกใดในทางการเมือง
หรือว่าขั้วอันประกอบขึ้นของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย จะกลายเป็นทางเลือกอันเป็นทางออกของสังคมไทย
รัฐประหาร คสช.
การเล่นบท ตัวกลาง
มีความจำเป็นต้องมองสภาพการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันอย่างสัมพันธ์กับรัฐประหาร 2 ครั้งที่ต่อเนื่องกัน นั่นก็คือ รัฐประหาร 2549 กับรัฐประหาร 2557
อะไรคือปัจจัยและสาเหตุที่กล่าวอ้างในการรัฐประหาร
ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวของ กปปส. เหตุผลสำคัญคือความเลวร้ายของการเมือง ความเลวร้ายของพรรคการเมือง นักการเมืองโดยมีพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย เป็นจำเลยสำคัญ
เมื่อพรรคฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถเอาชนะพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทยได้ก็ร่วมกับกลุ่มพลังต่างๆ ในสังคมก่อการเคลื่อนไหวและขุดคุ้ยโจมตีอย่างต่อเนื่องและรุนแรง กลายเป็นความขัดแย้งที่ตั้งประจันหน้าอยู่
ในที่สุดสถานการณ์และความรุนแรงก็นำไปสู่การรัฐประหารโดยมีเป้าหมายเพื่อหยุดการเติบใหญ่ของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย และจัดภูมิทัศน์การเมืองขึ้นใหม่ผ่านกระบวนการของการเลือกตั้ง
ความเป็นจริงของการเลือกตั้งหลังการรัฐประหารไม่ว่าเดือนธันวาคม 2550 ไม่ว่าเดือนกรกฎาคม 2554 ก็ไม่สามารถเอาชนะได้ จึงต้องเคลื่อนไหวและก่อรัฐประหารอีกครั้งในเดือนพฤษภาคม 2557 โดย คสช.แสดงตนเข้ามาเป็นกรรมการ จัดวางระบบ เครือข่าย โครงสร้างผ่านรัฐธรรมนูญและจัดการเลือกตั้งขึ้นในเดือนมีนาคม 2562
การเลือกตั้งครั้งใหม่นี้เองได้นำไปสู่โครงสร้างและมิติใหม่ในทางการเมืองที่มิอาจมองข้าม
พรรคเพื่อไทย ยังชนะ
แต่ คสช. ก็ยังมีอำนาจ
ความเป็นจริงจากการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562 พรรคเพื่อไทยก็ยังได้รับเลือกเข้ามาเป็นอันดับ 1 สามารถเอาชนะพรรคพลังประชารัฐอันเป็นพรรคของ คสช.ได้
ยิ่งกว่านั้น พรรคอนาคตใหม่ยังแจ้งเกิดด้วยคะแนนนิยมมากกว่า 6.2 ล้านคะแนน
เมื่อพรรคอนาคตใหม่ร่วมกับพรรคเพื่อไทย พรรคเสรีรวมไทย พรรคเศรษฐกิจใหม่ พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อชาติ พรรคพลังปวงชนชาวไทย ก่อเป็นพันธมิตรต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ คสช.อันแข็งแกร่งด้วยจำนวน ส.ส.245 คน
นี่ย่อมเป็นจำนวนที่มากกว่าพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคพลังท้องถิ่นไท พรรครักษ์ผืนป่าแห่งประเทศไทย พรรคประชาชนปฏิรูป
ขณะเดียวกัน พรรคประชาธิปัตย์อันเคยเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย แทนที่จะผนึกรวมกับพรรคพลังประชารัฐอันเป็นแขนขาของ คสช. กลับแยกตัวออกมาและจับมือกับพรรคภูมิใจไทย รวมกันแล้วเป็น 103 ส.ส.
การเกิดขึ้นของขั้วที่ 3 จึงเป็นการอาศัยความขัดแย้งของ 2 ฝ่ายทางการเมืองมาอำนวยประโยชน์ให้กับตน
พรรคขั้วที่ 3
เป้าหมาย การเมือง
การเกิดขึ้นของพรรคขั้วที่ 3 อย่างที่เห็นผ่านพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย คือภาพสะท้อนของการเมืองอันเนื่องจากปัญหาและความขัดแย้งที่ต่อเนื่องมากว่า 1 ทศวรรษ ที่เดิมเคยยืนอยู่ตรงกันข้ามกับพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย
คล้ายกับเป็นการสร้างพลังที่ 3 ขึ้นมาไม่เพียงแต่จะต่อรองกับพรรคที่ต้องการสืบทอดอำนาจให้กับ คสช. และต่อรองกับพรรคที่ต้องการต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ คสช.
คำถามอยู่ที่ว่า เป็นการต่อรองเพื่อเป้าหมายอะไรในทางการเมือง
เป็นการต่อรองเพื่อนำไปสู่พัฒนาการแห่งระบอบประชาธิปไตย เป็นการต่อรองเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับพลังอันอยู่ตรงกันข้ามกับพัฒนาการแห่งระบอบประชาธิปไตย ผลของการต่อรองในแต่ละจังหวะก้าวจะค่อยสำแดงออกมา
ความสำเร็จของการต่อรองอันเป็นผลประโยชน์ของพรรค ของตนเองจะสัมพันธ์กับผลประโยชน์ของประเทศ ผลประโยชน์ของประชาชนหรือไม่ ไม่นานก็จะได้คำตอบ