ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 ธันวาคม 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | แมลงวันในไร่ส้ม |
เผยแพร่ |
ข่าวใหญ่ในแวดวงของสื่อ วงการธุรกิจ และผู้ใช้อินเตอร์เน็ต ก็คือการที่ สนช. ผ่านร่างกฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฉบับใหม่
ก่อนหน้านี้ รัฐไทย มีท่าทีไม่ค่อยพอใจกับช่องทางข่าวสารออนไลน์ มีการกล่าวถึงนโยบาย ซิงเกิลเกตเวย์ หรือจำกัดช่องทางเข้าออกขอข้อมูลออนไลน์ เพื่อสะดวกในการตรวจสอบ
ทำให้ผู้สนใจเรื่องสิทธิเสรีภาพในโลกออนไลน์ จับตาดูการออกกฎหมายของรัฐบาลมาตลอด
วันที่ 16 ธันวาคม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ให้ความเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ พิจารณาเสร็จแล้ว ในวาระที่ 2 และ 3 ด้วยมติเอกฉันท์ 168-0
บทบัญญัติสำคัญๆ อาทิ มาตรา 14(1) นางสุรางคณา วายุภาพ กรรมาธิการชี้แจงว่า เจตนารมณ์เดิมตั้งใจเอาผิดกับเรื่องฉ้อโกง ปลอมแปลง แต่การบัญญัติตาม พ.ร.บ.คอมพ์ พ.ศ.2550 ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและนำไปใช้ผิด ครั้งนี้ กมธ. จึงแก้ไขให้ตรงกับเจตนารมณ์ ทั้งนี้ พล.ต.อ.ชัชวาลย์ กล่าวเสริมว่า มาตราดังกล่าวถือว่ามีความชัดเจน ไม่เกี่ยวกับความผิดฐานหมิ่นประมาท
ที่ถูกจับตามากที่สุดอีกมาตราได้แก่ มาตรา 20/1 ซึ่งให้รัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ 5 คน หากเห็นว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ให้ร้องศาลขอให้มีคำสั่งระงับการแพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ออกจากระบบคอมพิวเตอร์
มีการทักท้วงให้เพิ่มเป็น 7 หรือ 9 คน และให้มีที่มาชัดเจนจะช่วยลดแรงต้านของสังคมได้ และกรรมาธิการยินยอมให้เพิ่มเป็น 9 คน
ส่วนข้อมูลอันขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี มีการซักถามพอสมควร ก่อนที่ พล.ต.อ.ชัชวาลย์ ชี้แจงว่า อะไรที่ขัดต่อความสงบฯ นั้น ไม่เคยมีการบัญญัติไว้ในกฎหมาย ซึ่งที่ประชุม กมธ. ได้หารือกันแล้ว พบว่าศาลจะมีแนวทางพิจารณาอยู่แล้วว่าเรื่องใดขัดต่อความสงบฯ บ้าง ซึ่งมาตราดังกล่าวศาลจะพิพากษาให้ระงับหรือลบข้อมูลเท่านั้น ไม่มีความผิดใดๆ แต่ถ้าไม่ทำตามที่ศาลสั่งถึงจะมีความผิด
“สำหรับตัวอย่างความผิดตามมาตราดังกล่าว เช่น สอนวิธีการฆ่าตัวตาย วิธีการปล้น หรือวิธีทำอาวุธ ซึ่งไม่ผิดกฎหมาย แต่เมื่อเผยแพร่แล้วถือว่าขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี เป็นต้น” พล.ต.อ.ชัชวาลย์ กล่าว
สุดท้ายที่ประชุมลงมติรายมาตราในวาระ 2 และลงมติในวาระ 3 เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ทั้งฉบับ ด้วยคะแนน 168 ต่อ 0 งดออกเสียง 5 เสียง ประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป
ก่อนหน้านั้น ในวันที่ 15 ธันวาคม ตัวแทนเครือข่ายพลเมืองเน็ตและแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย (เอไอ) ยื่นรายชื่อประชาชนกว่า 300,000 รายชื่อ ต่อประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ขอให้ สนช. ทบทวนและแก้ไขเนื้อหาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
รายชื่อดังกล่าวเป็นการรวบรวมผ่านเว็บไซต์ change ซึ่งเครือข่ายพลเมืองเน็ตและเอไอร่วมรณรงค์กันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 ผ่านทางโครงการ “หยุด Single Gateway หยุดกฎหมายล้วงข้อมูลส่วนบุคคล”
นายอาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองเน็ต กล่าวว่า เนื้อหาในร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ที่เครือข่ายพลเมืองเน็ตเสนอให้ทบทวนมีหลายประเด็น แต่มาตราที่น่ากังวลมากที่สุด ได้แก่ มาตรา 14(1) ซึ่งใกล้เคียงกับเนื้อหาใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2550 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
โดยที่ผ่านมามักจะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการฟ้องหมิ่นประมาท และมาตรา 20(3) ซึ่งนายอาทิตย์ระบุว่า อาจส่งผลกระทบมากที่สุดต่อผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วไป เพราะมีการเพิ่มเติมเนื้อหาความผิดที่เข้าข่ายการเผยแพร่ “ข้อมูลบิดเบือน” นอกเหนือไปจาก “ข้อมูลเท็จ” ที่ระบุไว้แต่เดิม ถือเป็นคำที่มีความหมายกว้าง อาจนำไปสู่การตีความที่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้อินเตอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น
นายอาทิตย์ยกตัวอย่างกรณีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตที่วิพากษ์วิจารณ์ สินค้า บริการ หรือธุรกิจต่างๆ ผ่านสื่อออนไลน์ แม้จะเป็นการติชมโดยสุจริตก็อาจจะถูกฟ้องร้องได้ง่ายขึ้น
ขณะเดียวกัน องค์การนิรโทษกรรมสากล หรือ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ระบุว่า หากร่างแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับนี้ผ่านการพิจารณา อาจเปิดช่องให้เกิดการตีความและสามารถถูกนำไปบังคับใช้ในทางละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้
โดยเฉพาะสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งผิดไปจากเจตนารมณ์ที่แท้จริงของ พ.ร.บ. ฉบับนี้ที่มุ่งเน้นคุ้มครองความปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์ โดยองค์กรเห็นว่า ความผิดฐานหมิ่นประมาทไม่ควรถูกบรรจุในมาตรา 14, ผู้ให้บริการไม่ควรได้รับโทษเท่าผู้กระทำผิดในกรณีที่ไม่ได้ร่วมกระทำความผิด และเงื่อนไขการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ที่กว้างเกินไปตามมาตรา 18, 19 และ 20
หลังจาก สนช. ผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว มีข่าวแพร่สะพัดว่าจะมีการชุมนุมต่อต้าน 2 จุดด้วยกัน คือที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และหอศิลปวัฒนธรรม กทม. ในวันที่ 18 ธันวาคม
ทำให้ในวันดังกล่าว มีกำลังตำรวจและทหารไปตรึงพื้นที่ 2 จุด แต่สุดท้ายมีกิจกรรมเกิดขึ้นจุดเดียว คือที่ลานหน้าหอศิลปวัฒนธรรม กทม.
มีกลุ่มนักศึกษาและประชาชนจำนวนหนึ่งมาชูป้ายค้านร่าง พ.ร.บ. และโปรยนกกระดาษ
น.ส.อ้อมทิพย์ เกิดผลานันท์ ตัวแทนกลุ่ม Free internet society Thailand (FIST) นิสิตคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชั้นปีที่ 1 กล่าวว่า เนื่องจากคนในโซเชียลมีเดีย 3 แสนกว่าคนลงชื่อไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ. แต่กลับไม่ได้รับการใส่ใจจาก สนช. เลย ทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้น
ตนและเพื่อนจึงต้องการแสดงออกในพื้นที่สาธารณะนอกโซเชียลมีเดียด้วย เพราะรู้สึกว่าถูกคุกคามจากรัฐด้วยข้ออ้างความมั่นคง
พร้อมกับเรียกร้องให้ สนช. ทบทวนยกเลิกร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ส่วนการเคลื่อนไหวครั้งต่อไป จะยังมีขึ้นอีกแน่นอน แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่าเมื่อไหร่และอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่ามีประชาชนให้ความสนใจในเรื่องสิทธิเสรีภาพมากน้อยเพียงใด ประชาชนที่ใช้โซเชียลมีเดียในชีวิตประจำวันควรทราบว่า ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวน่ากังวลในการตีความทางกฎหมาย
กระแสต้านร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวยังกระจายอยู่ในโลกออนไลน์ ขณะที่มีข่าวว่าเว็บไซต์หน่วยงานรัฐหลายแห่งถูกโจมตีหรือแฮ็ก
และมีการเรียกร้องให้จับตาร่างกฎหมายอีกฉบับ ที่จะใช้ควบคู่กัน นั่นคือ ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
ซึ่งจะให้เกิดคณะกรรมการ ที่มีอำนาจกว้างขวาง มีอำนาจสั่งการเพื่อเข้าถึงข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลได้
เป็นอีกประเด็นร้อนที่ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดต่อไป