จัตวา กลิ่นสุนทร : เที่ยวฮ่องกง-มาเก๊า ขึ้นสะพานข้ามทะเลยาวที่สุด

ในวงสนทนาของเพื่อนผู้สูงวัยด้วยกัน และใกล้เคียงมักส่งเสริมให้ใช้เวลาที่เหลือเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเป็นการพักผ่อนถ้ายังอยู่ในสภาพฐานะที่ยังพอไปได้

บางคนพูดจาคล้ายกับเป็นการข่มขู่ไปไกลถึงขนาดว่าไปท่องเที่ยวเสียเมื่อยังพอมีกำลังแขนขาสามารถเดินได้ ประเดี๋ยวเคลื่อนไหวไม่คล่องตัวจะมาเสียดายว่า รู้ยังงี้ออกเที่ยวเสียตั้งนานแล้ว

เมื่อมีโอกาส มีเรี่ยวแรงกำลังวังชาน่าจะทำอย่างนั้น อย่าเสียดายเงินทอง เพราะชีวิตคนเราคงไม่ยืนยาวเป็นร้อยๆ ปีทุกคน

ถึงแม้จะอยู่จนอายุมากมายดังกล่าว ก็คงออกเดินทางท่องเที่ยวเองไม่ได้

สำหรับคนสูงอายุ สังคมค่อนข้างจะให้ความเกื้อกูล เช่น ทุกวันนี้ขึ้นรถเมล์ประจำทาง รถไฟฟ้า มักจะมีสุภาพบุรุษลุกให้นั่ง แม้จะนานๆ จะได้พบสักครั้ง ยังดีกว่าไม่เคย

ขนาดบนรถไฟของเมืองฮ่องกงยังมีที่นั่ง 1-2 ที่สำหรับคนสูงอายุในตู้หนึ่งๆ

 

เมื่อต้นเดือนเมษายนก่อนถึงงานเทศกาลประเพณีมหาสงกรานต์บ้านเรา บังเอิญได้เดินทางท่องเที่ยวไปสถานที่ที่ชอบพอซึ่งมักจะปลีกตัวหลบหลีกธุระในเมืองไทยซึ่งยังพอมีอยู่บ้างแอบแว่บไปกับเพื่อนสนิทวัยเดียวกันยังเขตปกครองพิเศษมาเก๊า (Macau) ฮ่องกง (Hong Kong) เสมอๆ

แต่ครั้งนี้เพื่อนเดินทางเปลี่ยนเป็นสาวน้อยที่บ้าน

หลายคนฝังความทรงจำไว้ในสมองตั้งแต่เล็กแต่น้อยว่ามาเก๊าคือเมืองการพนัน (Casino) โดยไม่รับรู้ว่าทุกสรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง เพราะว่าทุกวันนี้เมืองที่กล่าวถึงบ่อยๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ

โดยกาสิโน (Casino) นั่นแหละ ได้กลายเป็นรายได้เลี้ยงประชากรของเขตปกครองพิเศษมาเก๊าได้เป็นอย่างดีมีความสุข นักเรียนของเมืองนี้ได้ศึกษาเล่าเรียนฟรี

ประชาชนคนมาเก๊าได้เข้าศึกษาอาชีพเกี่ยวกับการบริหารจัดการสถานกาสิโน ตั้งแต่ระดับสูงลงมาจนกระทั่งถึงการแจกไพ่ เขย่าไฮโล และ ฯลฯ

ตลอดจนพนักงานบริการระดับล่างตั้งแต่การเสิร์ฟน้ำ อาหาร การทำงานในโรงครัว และอื่นๆ

ซึ่งแน่นอนที่สุดว่าอาชีพต่างๆ ที่ใช้แรงงานได้ขยายเผื่อแผ่สู่ประชาชนในกลุ่มประเทศอาเซียนจำนวนไม่น้อยด้วยซ้ำไป

 

เคยเข้าไปศึกษาเรียนรู้ด้วยการเสี่ยงโชคในสถานกาสิโนซึ่งมีบริการเรื่องความสะดวกสบายทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องเครื่องดื่มตั้งแต่วิสกี้ (Whisky) ไวน์แดง+ขาว (Red+White Wine) น้ำชา ชา กาแฟ จนถึงน้ำเปล่าซึ่งมีบริการให้หยิบฉวยดื่มกินได้ตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืนตลอดเดือนทั้งปีทั้งชาติ

เพราะสถานกาสิโนไม่เคยปิด ทุนไม่หมด เว้นแต่คนเสี่ยงโชคเท่านั้นจะหมดตูด หมดตัว

ได้พบหลายสิ่งหลายอย่างในสถานที่ดังกล่าวนั้น รวมทั้งแรงงานชาวพม่า ที่เสิร์ฟไวน์แดง เมื่อเขารู้ว่าเราเป็นคนไทยเพื่อนบ้านเรือนเคียงจึงมักจะวนเวียนแวะมาพูดคุยด้วยความคิดถึงบ้าน และบริการพวกเราจนเมาไวน์มากกว่าจะเพลี่ยงพล้ำในเกม

ล่าสุดไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลสำหรับปีที่ผ่านมาว่ารายได้จากสถานกาสิโนในเขตปกครองพิเศษมาเก๊าเพิ่มขึ้นหรือว่าลดลง

ซึ่งตามสภาพเท่าที่เห็นไม่น่าจะลด

แต่แน่ที่สุดได้สร้างผลกำไรมากกว่าลาสเวกัส (Las VeGas) มลรัฐเนวาดา (Nevada) เมืองเอนเตอร์เทน (Entertain) ของสหรัฐมาหลายปีแล้ว

ครั้งสุดท้ายที่เดินทางไปมาเก๊าเมื่อประมาณต้นปี 2561 และเว้นวรรคเกือบปีเต็มก่อนจะแวะเวียนไปครั้งล่าสุดเมื่อสัปดาห์แรกของเดือนเมษายน 2562

เคยได้พูดคุยกับคนฟิลิปปินส์ ซึ่งค่อนข้างคุ้นเคยจนเหมือนเพื่อนกันที่ทำงานอยู่กับโรงแรมในเครือของสแตนลี โฮ (Stanley Ho) หรือ เหอ หง เซิน (Ho Hung Sun) “ราชาแห่งกาสิโน”

ได้ถามถึงเจ้านายของเขาว่ายังสบายดีอยู่หรือ?

เขาบอกว่าอายุใกล้ 100 ปีแล้ว ตอนนี้ดูเหมือนนอนพักรักษาตัวคล้ายๆ ใกล้นิทราแล้ว (กระมัง) อยู่ในฮ่องกง

เป็นการพูดคุยถึงสแตนลี โฮ เป็นครั้งสุดท้าย แต่เมื่อเดินทางสู่มาเก๊าครั้งล่าสุดก็ยังไปพักที่โรงแรมของเขาเช่นเคยด้วยความเคยชิน

โรงแรมนี้อยู่ใกล้กับกิจการกาสิโน (Hotel Lisboa) แห่งแรกของเขาเมื่อสักราว 50 ปีก่อน ก่อนจะมีการก่อสร้างแกรนด์ ลิสบัว (Grand Lisboa Hotel)

แน่นอนต้องมีกาสิโน (Casino) ใหญ่โตกว่าของเก่าหลายเท่า

เพราะเป็นการลงทุนเพื่อแข่งขันกับคู่ต่อสู้ประเภททุนใหญ่จากยุโรป สหรัฐ และเศรษฐีฮ่องกง ที่เปลี่ยนมาเก๊าเมืองเล็กๆ ของแผ่นดินใหญ่ให้เติบโตอลังการ

 

มาเก๊าแต่เดิมซึ่งมีโรงแรมกาสิโนอยู่เพียงแห่งเดียว คือโรงแรมลิสบัว กาสิโน (Hotel Lisboa Casino) การเดินทางก็ไม่เหมือนทุกวันนี้ จากเมืองไทยไปได้เส้นทางเดียวเท่านั้นด้วยการนั่งเครื่องบินไปลงสนามบินฮ่องกง แล้วต่อด้วยเรือเฟอร์รี่ (Ferry)

ขนาดนั้นคนไทยยังข้ามน้ำข้ามทะเลหอบเงินไปช่วยสแตนลี โฮ สร้างโรงแรมจนขยายใหญ่โตมาตราบเท่าทุกวันนี้

ด้วยความนิสัยอยากรู้อยากเห็นจึงได้ใช้ความพยายามทุกๆ ทาง ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยจะมีทรัพย์เพราะเพิ่งจะเริ่มเข้าสู่อาชีพการงานทำมาหากินด้วยตัวเองหลังจากเดินหันหลังให้กับมหาวิทยาลัย ทุกวันนี้ถ้าหากเป็นไปได้อยากจะกลับเข้าไปเรียนอีกดีกว่า และจะเรียนให้เต็มโควต้าแบบนานๆ ปีไปเลยไม่อยากจะจบการศึกษาออกมาด้วยซ้ำ

จะได้ไม่ต้องการมารับรู้ต่อสู้ชีวิต ต้องดิ้นรนทำมาหากินในสังคมที่แย่งชิงเอาเปรียบ ไม่ต้องมาศึกษาเรียนรู้เรื่องการเมือง ไม่ต้องรับรู้เรื่องการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งบางครั้งดูเหมือนกับจอมปลอม และความเหลื่อมล้ำในสังคม

ไม่ต้องการเห็นการประจบสอพลอเอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้คนอื่นเพื่อความอยู่รอดของครอบครัวญาติพี่น้องพวกพ้องตัวเองเท่านั้น

ได้เดินทางไปมาเก๊าตั้งแต่ลำบากมากแทบไม่มีโรงแรมที่พักกับเพื่อนพ้องรุ่นราวคราวเดียวกัน

ต่อมาก็ยกระดับขึ้นเรื่อยๆ โดยการรู้จักมันคุ้นพวกทำทัวร์กาสิโนจึงได้ที่พักที่กินฟรีจากการอนุเคราะห์ของเฮียเหล่านั้นที่เดินทางไปทำงาน และ เสี่ยงโชคไปพร้อมกันด้วย

โดยที่ผู้อาศัยอย่างเราอยู่ในทีมศึกษาเรียนรู้เพราะไม่มีโอกาสเล่นได้เสีย เพราะหนึ่งไม่มีเงินขนาดนั้น สองเล่นไม่เป็น?

 

แก่พรรษาขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ต่างๆ ที่ต้องจะเดินทางไปเที่ยวมักจะชักชวนเข้าร่วมกลุ่ม จึงขึ้นชั้นถึงขนาดได้กินอยู่หลับนอนในโรงแรมดีๆ ร้านอาหารชั้นดีจนถึงกล้าเข้าไปและเล็มเรียนรู้เรื่องการเสี่ยงโชค

แต่ทั้งหมดนั้นคือการศึกษาหาประสบการณ์ชีวิต มิได้เป็นความมุ่งมั่นจริงจังอะไร?

เพราะเติบโตมาจนรู้แล้วว่าอะไรควร ไม่ควร อะไรดี ไม่ดี เพียงแต่จะบอกเล่าเก้าสิบให้ฟังเท่านั้นว่า มาเก๊าในความรู้สึก ที่รู้จักแต่เก่าก่อนเป็นเพียงเมืองติ่งเล็กๆ ของแผ่นดินใหญ่ในมณฑลกวางตุ้งมณฑลเดียวกันกับฮ่องกง จูไห่ และกวางโจว ทางตอนใต้ของจีนแผ่นดินใหญ่เท่านั้น

ซึ่งมันแตกต่างกันเหมือนอย่างฟ้ากับเหวในขณะนี้

ที่มีนายทุนต่างชาติฝั่งตะวันตกร่วมกับเศรษฐีจีน ฮ่องกง และอื่นๆ แม้กระทั่งดาราหนังระดับซูเปอร์สตาร์ของฮ่องกงซึ่งโด่งดังถึงฮอลลีวู้ด (Holly Wood) ยังเทเงินลงทุนในมาเก๊าจำนวนมาก

ต้องบอกว่า 20 ปีหลังเมื่อโปรตุเกสคืนมาเก๊าให้จีนแล้ว มาเก๊าได้ถมทะเลเพิ่มพื้นที่จำนวนมากเพื่อก่อสร้างโรงแรมกาสิโน และเกาะโคโลอาน (Coloane) ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวประมงเดิม ได้ถมผนวกกับเกาะไทปา (taipa) 2 เกาะเป็นเกาะเดียว (Coloane+Taipa=Cotai) เรียกว่าฝั่งโคไท (Cotai) เชื้อเชิญให้นักลงทุนมาลงทุนเป็นหลายๆ แสน หรือถึงจำนวนหลายล้านเหรียญ/สหรัฐ/ทีเดียว

ถนนหนทางที่เชื่อมระหว่างในเมืองเดิมกับเกาะซึ่งเคยมีเพียงสะพานเดียวได้เพิ่มเป็น 4-5 สะพาน การจราจรก็ออกแบบลื่นไหลได้อย่างน่าทึ่ง

ทั้งๆ ที่ถนนหนทางไม่ได้มีพื้นที่มากมายอะไร เพียงแต่เป็นการออกแบบจัดวางได้ถูกที่ถูกทาง แม้จะวกวนไปมาบ้าง แต่ประสานกันทั้งท่าเรือ สนามบิน สถานที่ท่องเที่ยวได้อย่างลื่นไหลคล่องตัว และนักขับทั้งหลายต่างเคารพกฎหมาย

 

เชื่อไหมว่าบนเกาะฝั่งโคไทนั้นกำลังจะมีรถไฟฟ้า (Sky Train) เพื่อความคล่องตัวของนักท่องเที่ยว หลังจากที่ทุกๆ โรงแรมมีชัตเติลบัส (Shuttle Bus) คอยบริการรับส่งหมุนเวียนจากในเมืองสู่เกาะโคไท (Cotai) และรับส่งสู่ท่าเรือเฟอร์รี่ (Ferry) สนามบิน อยู่ตลอดเกือบทั้งวัน ขณะนี้มาเก๊ามีสนามบิน และมีสายการบิน (Macau Air) เป็นของตัวเอง ถึงแม้จะยังไม่มีสายการบินไปลงได้มาก แต่กลับพยายามขยายสนามบินขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว

สำคัญที่สุดขณะนี้จีนได้ทุ่มทุนถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์/สหรัฐ/กว่า 6 แสนล้านบาทสร้างสะพานข้ามทะเลที่ยาวที่สุดในโลก (Hong Kong Zhuhai Macau Bridge) (HZMB) เชื่อมการเดินทางระหว่างฮ่องกง จูไห่ มาเก๊า โดยเดินทางโดยรถบัส (Shuttle Bus) นอกเหนือจากเรือเฟอร์รี่ (Ferry) และเฮลิคอปเตอร์

ซึ่งจะต้องคุยกันต่ออีกสักครั้ง 2 ครั้ง