ในประเทศ / เดียวดาย ในเงา ‘โจ๊ก’

ในประเทศ

 

เดียวดาย

ในเงา ‘โจ๊ก’

 

เพียงแค่กะพริบตา

การเปลี่ยนแปลงใหญ่ก็บังเกิดขึ้น

5 เมษายน มีกระแสข่าวลือ ย้ายด่วนนายตำรวจผู้โด่งดังที่สุดแห่งยุค

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล จากผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.)

ให้ไปปฏิบัติหน้าที่ที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.)

ขณะที่เพจเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ซึ่งเป็นช่องทางประชาสัมพันธ์อันทรงประสิทธิภาพ มีผู้ติดตามหลายแสนคน ปิดตัวตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 5 เมษายน อย่างลึกลับ

หลายคนไม่เชื่อข่าวนี้ เพราะดูมีความเป็นไปได้น้อยมาก ที่ผู้ซึ่งถูกขนานนาม “ผบ.ตร.น้อย” จะมีอันเป็นไป

แต่ไม่เชื่อ ก็ต้องเชื่อ

เมื่อปรากฏคำสั่ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ลงนามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 232/2562

ให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) ปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จริง

โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) มอบหมาย โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน เป็นต้นไป

ยิ่งไปกว่านั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ยังได้ลงนามคำสั่งให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ พ้นจากกรรมการชุดปฏิบัติการต่างๆ ทั้งหมด

รวมถึงศูนย์อำนวยการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) ศูนย์ปราบปรามเงินกู้คืนโฉนดที่ดินด้วย

ซึ่งตำแหน่งเหล่านี้เองที่ทำให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ปรากฏตัวอยู่ในทุกที่ ทุกสถานการณ์ เมื่อมีข่าวใหญ่

แต่หลังจากคำสั่งนี้

ภาพเหล่านั้นจะไม่ปรากฏขึ้นอีกแล้ว?

 

ไม่เพียงเท่านั้น 9 เมษายน 2562

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

ได้ลงนามในคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 2/2562 ให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งบริหารระดับสูง ในตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

โดยขาดจากตำแหน่งหน้าที่และอัตราเงินเดือนเดิมในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พร้อมทั้งยังอ้างถึงคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 16/2558 ซึ่งเป็นการใช้อำนาจตามมาตรา 44 เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างถูกตรวจสอบและการกำหนดกรอบอัตรากำลังชั่วคราว ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2558 โดยประกาศให้ชื่อของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ รวมอยู่ในรายชื่อตามคำสั่งดังกล่าวด้วย

ซึ่งนั่นหมายความว่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กลายเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ในตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ถูกขึ้นบัญชี “ต้องถูกตรวจสอบ” ด้วย

นี่ย่อมเป็นความพลิกผันครั้งใหญ่ในชีวิต

เพราะที่ผ่านมาชีวิตการงานมีแต่ขึ้นกับขึ้นเท่านั้น

 

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เกิดเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ.2513 ที่ จ.สงขลา

เป็นบุตรชายคนโตของดาบตำรวจไสว หักพาล และนางสุมิตรา หักพาล สมรสกับ ดร.ศิรินัดดา พานิชพงศ์

สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมหาวชิราวุธ

สอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 31

ได้รับการจารึกชื่อในแผ่นป้ายทองให้เป็นนักเรียนเตรียมทหารที่มีความประพฤติและการกีฬายอดเยี่ยมประจำปีการศึกษา 2532

เป็นประธานนักกีฬาเทนนิสโรงเรียนเตรียมทหาร

เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 47 ในรุ่น พราน 47 เดอะโจ๊กคือผู้นำ

เริ่มรับราชการตำรวจครั้งแรกในกองบัญชาการตำรวจนครบาล

ระหว่างนั้นก็สอบเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโท สังคมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม (สศ.ม.) มหาวิทยาลัยมหิดล และปริญญาเอก ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขารัฐประศาสนศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย

เข้าสู่ตำแหน่งระดับสูงเมื่อเป็นสารวัตรสถานีตำรวจทางหลวง 4 กองกำกับการ 5 (เชียงใหม่)

ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายตำรวจราชสำนักเวร

ได้รับแต่งตั้งจากวุฒิสภาให้เป็นกรรมาธิการวุฒิสภา และผู้ปฏิบัติงานประจำสมาชิกวุฒิสภา

ได้รับแต่งตั้งให้แก้ไขปัญหาปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติในตำแหน่งผู้กำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์

เป็นผู้บังคับการกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (บก.สปพ.) หรือ 191 ซึ่งในแวดวงตำรวจทราบกันดี นี่คือกองบังคับการระดับพรีเมียมใน “นครบาล”

ทะลุเป็นนายพลอายุน้อย เพียง 47 ปี เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว

ก่อนผงาดเป็น พล.ต.ท. ในตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

กระทั่งถูกย้ายชนิดฟ้าผ่าดังกล่าว

 

ด้วยบุคลิกและปฏิสัมพันธ์กับผู้คนรอบกายดี จนกลายเป็นที่มาของฉายา “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” พร้อมคำล้อเลียน “ครับพี่ครับ ครับ ครับพี่ ครับ ครับพี่”

แม้จะเป็นการแซวขำ-ขำ แต่ก็สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการตอบสนองนาย เพื่อน และลูกน้อง ที่มีสูงอย่างยิ่ง

นี่จึงยิ่งทำให้เขาโดดเด่น

ก่อนหน้านี้ เพราะบิดาเป็นนายตำรวจชั้นประทวน เคยทำงานใกล้ชิด พล.ต.ท.เสมอ ดามาพงศ์ อดีตผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ บิดา พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ “คุณหญิงอ้อ” คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร

จึงทำให้ถูกมองว่า ใกล้ชิดกับ “ดามาพงศ์ และชินวัตร”

แต่บิ๊กโจ๊กปฏิเสธ ว่าไม่ใช่เด็กในบ้านดามาพงศ์ อย่างที่ใครกล่าวหาร่ำลือ

ยิ่งหลังการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ยิ่งได้พิสูจน์ตัวเองว่าไม่ใช่ “ชินวัตร”

เพราะเขาเป็นหนึ่งในตำรวจที่เข้าไปช่วยงานกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

และกลายเป็นนายตำรวจคนสนิท แทบจะไม่ต่างจากนายเวร งานตำรวจจำนวนมากถูกรายงานตรงไปยัง พล.อ.ประวิตร

นี่จึงนำมาสู่การมองว่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ คือ ผบ.ตร.น้อย แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธเสียงวิพากษ์วิจารณ์นี้

แต่ก็ยอมรับว่า การสนองงาน “นาย” ได้ในทุกเรื่อง จึงนำมาสู่ความไว้วางใจ

และทำให้เป็นนายตำรวจที่ทรงอิทธิพล

อย่างยากที่ใครจะเสมอเหมือน

 

ในช่วงเลือกตั้ง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์โชว์บทบาทสำคัญในการลุยอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ

ในฐานะผู้ดูแลศูนย์อำนวยการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.)

และศูนย์ปราบปรามเงินกู้คืนโฉนดที่ดิน

เขานำกำลังเข้ากวาดล้างกลุ่มนายทุนเงินกู้ชนิดรายวัน

แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป้าหมายส่วนใหญ่จะเป็นคนของพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล

แต่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ยืนยันว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ไม่เกี่ยวกับการเมือง และเป็นผลงานที่ได้รับความชื่นชมจากประชาชนที่ถูกรีดไถอย่างมาก

จึงเป็นผลงานโบแดงชิ้นสำคัญ ที่ทำให้ “พี่ป้อม” ชื่นชมน้องโจ๊กคนนี้เพิ่มทวีคูณ

พร้อมๆ กับที่คนในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และคนในสังคมทั่วไป เชื่อไปค่อนตัวแล้วว่า นายตำรวจคนนี้แหละ จะก้าวขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

และมีอนาคตอีกยาวไกล หากการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลชุดนี้ดำเนินต่อไป

 

แต่แล้ว “บิ๊กโจ๊ก” ก็เจอวิบากกรรมอย่างไม่คาดฝัน ด้วยคำสั่งถูกสั่งย้าย และถูกตั้งแท่นที่จะถูกสอบสวนอย่างกะทันหันดังกล่าว

มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้เขาสะดุดล้มหัวคะมำครั้งนี้

ไม่ว่าเรื่องตั๋วโยกย้ายนายตำรวจ ที่ไปแตะต้องฝ่ายที่ไม่สมควรแตะต้อง รวมถึงการจัดบุคคลลงงานที่ไม่เหมาะสม

รวมถึงการวางตัว ที่อาจชวนให้เข้าใจผิดบางประการ

แต่นั่นก็เป็นเพียงคาดการณ์

ไม่มีคำชี้แจงใดๆ จากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

เช่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ปฏิเสธตอบคำถามสื่อมวลชนเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร “พี่รัก” ได้แจ้งขอลาประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 เมษายน โดยอ้างมีอาการป่วย อาการท้องเสีย ซึ่งเกิดจากการรับประทานอาหาร

และ พล.อ.ประวิตรได้ยกเลิกภารกิจทั้งหมดเพื่อพักฟื้นร่างกาย

รวมทั้งการสั่งยกเลิกการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่ พล.อ.ประวิตรต้องไปประชุมในฐานะประธาน ก.ตร.

เพื่อพิจารณาแต่งตั้งผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) คนใหม่แทน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ออกไปอย่างไม่มีกำหนด

คนใกล้ชิด พล.อ.ประวิตรยืนยันว่าการป่วยกะทันหันครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมือง หรือพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพบสื่อมวลชนเพื่อตอบคำถามกรณีนี้

แต่ดูเหมือนคนส่วนใหญ่ไม่คิดเช่นนั้น

และเฝ้าจับตามองกรณีนี้อย่างใกล้ชิด ทั้ง “สาเหตุ” และผลกระทบที่ติดตามมาว่าจะมีเพียง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์คนเดียวหรือไม่

จะโยงไปถึงลูกน้อง บริวาร เพื่อน นาย และพี่ หรือไม่

นี่คือความคลุมเครือ ที่เป็นปริศนาและไร้คำตอบ

 

บิ๊กโจ๊ก จากดาวรุ่งพุ่งแรง วันนี้กลายเป็น “เงา” อัน “เดียวดาย” ไร้ตัวตน อย่างไม่น่าเชื่อ

ซึ่งจะส่งผล หรือทำให้โจทย์การเมือง โจทย์การจัดตั้งรัฐบาล โจทย์การสืบทอดตำแหน่ง ที่เขาเข้าไปพัวพันด้วย

ดำเนินไปตามที่วางเป้าหมายหรือไม่

หรืออาจจะทำให้บางคนอาจไม่ได้ไปต่อ เพราะผลสะเทือนที่เกิดจากกรณีนี้ “พันลึก” เกินความคาดหมาย

จนอาจทำให้โฉมหน้าการเมืองเปลี่ยนไปอย่างไม่คาดฝันอีกครั้ง

   และแน่นอน ย่อมนำมาสู่ “เงา” อีกหลายเงา ต้องโดดเดี่ยวจากกรณีอันชวนตกตะลึง!!