ส่องเรื่องราวชีวิตของ “กิจโตเกียว” พ่อค้ายอดกตัญญู วัย 14 ปี “ผมไม่อยากให้พ่อกับแม่เหนื่อย”

“ผมไม่อยากให้พ่อกับแม่เหนื่อย” นี่คือเหตุผลง่ายๆ ของ ด.ช.ดนิษฐ์ แซ่อ้าย วัย 14 ปี หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “น้องกิจโตเกียว” เด็กชายยอดกตัญญูผู้โด่งดังในโซเชียลมีเดีย จากการเลือกใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียนมาขายขนมโตเกียว ที่ท่าน้ำปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี

น้องกิจได้รับเสียงชื่นชมจากผู้คนในโซเชียล หลังมีการเผยเรื่องราวสู้ชีวิตและบทสัมภาษณ์จากสื่อต่างๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความน่ารัก รอยยิ้มจริงใจ และสัมผัสได้ถึงทัศนคติเชิงบวกของเด็กชาย กับความมุ่งมั่นที่อยากช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัวอย่างแท้จริง

ในช่วงเย็นของทุกวัน เป็นเวลาที่เด็กๆ ในวัยนี้ส่วนใหญ่จะทำการบ้านหรือเที่ยวเล่นสนุกสนาน แต่น้องกิจใช้เวลาตั้งแต่ช่วงเย็นถึง 3-4 ทุ่ม เข็นรถออกจากบ้านเช่า มาขายขนมโตเกียวที่ท่าน้ำปากเกร็ด

ส่วนในช่วงวันเสาร์และอาทิตย์ ที่หลายคนรอคอยให้เป็นวันหยุดพักผ่อน น้องกิจก็เลือกตื่นตั้งแต่ตี 5 มาช่วยพ่อแม่ทำน้ำชง และจัดส่งน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ตามหมู่บ้าน

เมื่อถามถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้ตัดสินใจมาช่วยพ่อแม่ขายของในทุกๆ วัน น้องกิจเล่าให้ฟังว่า ทุกเช้าพ่อจะต้องไปขายปาท่องโก๋ตั้งแต่เช้าตรู่ถึง 10 โมง กว่าจะได้นอนพักก็ช่วงเที่ยง พอบ่ายโมงก็ต้องตื่นไปขายขนมโตเกียวอีก

เห็นพ่อทำงานหนัก ถือของหนัก และพ่อก็เริ่มมีอาการมือชา พ่อเป็นแบบนี้หลายครั้ง เมื่อเห็นพ่อเหนื่อยมากๆ และเริ่มไม่สบาย จึงคิดว่าตัวเองน่าจะช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อได้บ้าง น้องกิจจึงเริ่มติดตามพ่อมาขายของ และเรียนรู้วิธีการทำ-ขายขนมโตเกียว

ช่วงหัดทำขนมโตเกียวใหม่ๆ น้องกิจบอกว่า ตัวยังไม่สูงเท่านี้ทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง แขนมักจะถูกเตาร้อนๆ ลวกเสมอ ต้องใช้น้ำแข็งประคบและขายของต่อ แต่ไม่เคยรู้สึกเหนื่อยหรือท้อเลยสักครั้งเดียว

เมื่อมีรายการโทรทัศน์ติดต่อมาขอให้ไปออกรายการ ช่วงแรกน้องกิจใช้เวลาตัดสินใจอยู่นานเพราะห่วงว่าจะต้องหยุดขายของ แต่เมื่อไปออกทีวีและมีสื่อมาสัมภาษณ์แล้ว ก็ทำให้มีลูกค้าเพิ่มมากขึ้น จึงรู้สึกดีใจมากๆ และอยากฝากขอบคุณลูกค้าทุกคนที่เข้ามาสนับสนุน

ทีมข่าวมติชนทีวีได้ไปสำรวจร้านโตเกียวของน้องกิจ พบว่าหลังออกรายการโทรทัศน์ และมีสื่อมวลชนมาสัมภาษณ์ รถเข็นขนาดไม่ใหญ่มากที่ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในซอย บริเวณท่าน้ำปากเกร็ด ประมาณ 50 เมตร ก็มีลูกค้ามาต่อคิวยาวเหยียด

ทำให้น้องกิจและพ่อต้องผลัดกันทำขนมโตเกียวอยู่หน้าเตาร้อนๆ ถึงแม้จะดูเหนื่อยมีเหงื่อไหล แต่น้องกิจก็ยังคงทำขนมต่อไปด้วยรอยยิ้ม และพูดคุยกับลูกค้าที่มาต่อคิวไม่ขาดสาย

ลูกค้าที่มารอต่อคิวบางคนบอกว่าบ้านอยู่ใกล้ๆ เมื่อทราบข่าวจากโซเชียลก็เลยออกมาช่วยอุดหนุนน้องกิจ เพราะความน่ารักของน้อง

แต่บางคนก็เดินทางมาไกลจากต่างพื้นที่ เพราะตั้งใจจะมอบทุนการศึกษาให้น้อง เพื่อเป็นกำลังใจให้น้องกิจประพฤติตนเป็นเด็กดีและเป็นแบบอย่างที่ดีในสังคมต่อไป

จากการพูดคุยกับน้องกิจ เราสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นและความประหยัดอดออม ทราบว่าน้องกิจใช้เงินหลังเลิกเรียนเพียงวันละ 10 บาท เพื่อซื้อน้ำอัดลมและขนม เขายังบอกว่าถ้าโตขึ้นมีความฝันอยากเป็นเจ้าของกิจการ มีหน้าร้านขายโตเกียวและขายส้มตำไปด้วย

ส่วนสาเหตุที่อยากขายส้มตำ เพราะเคยได้ยินแม่ค้าคุยกันว่าขายส้มตำจะได้กำไรเยอะ ส้มตำจึงเป็นอีกหนึ่งเมนูที่อยากทำขาย

น้องกิจตั้งใจจะนำเงินที่ได้จากการขายขนมโตเกียวไปฝากธนาคาร เพื่อเก็บหอมรอมริบเอาไว้ซื้อบ้านของตัวเองในอนาคต พ่อแม่จะได้เลิกเช่าบ้านเสียที

แต่เห็นขยันๆ แบบนี้ น้องกิจก็มีเรื่องให้โดนแม่ดุได้เกือบทุกวัน เนื่องจากชอบกินข้าวตอนดึกๆ หรือหลัง 4 ทุ่ม ทำให้ถูกแม่ต่อว่าเรื่องน้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐาน

ด้านนายคำแสง แซ่อ้าย พ่อของน้องกิจ บอกความรู้สึกของตนเองที่มีต่อลูกชายว่า รู้สึกภาคภูมิใจในตัวน้องกิจเป็นอย่างมาก พร้อมเล่าว่าตั้งแต่น้องกิจอยู่ ป.1 ก็เริ่มช่วยพ่อแม่ขายของแล้ว น้องจะตื่นตั้งแต่ตี 5 มาช่วยพ่อแม่ชงน้ำชง โดยถามสูตรจากแม่ว่าจะต้องใส่ส่วนผสมอะไร เท่าไหร่บ้าง และช่วยกันตักใส่ถุง

จากนั้น พ่อก็จะเอาน้ำไปเดินขายที่เกาะเกร็ด เมื่อน้องกิจโตขึ้นจนเริ่มปั่นจักรยานได้ น้องเลยขอปั่นรถไปส่งน้ำชงและปาท่องโก๋ตามหมู่บ้านใกล้ๆ และเริ่มมาช่วยขายขนมโตเกียวตั้งแต่เรียนอยู่ ม.1 จนถึงปัจจุบัน

คุณพ่อย้อนอดีตว่าช่วงแรกที่น้องกิจมาช่วยขายขนมโตเกียว เขาก็ยังทำไม่เป็น แต่เขาพูดว่าจะพยายามหัดทำให้ได้ พ่อจะได้พักผ่อนกลับบ้าน แล้วหนูจะได้ไปขายคนเดียว

น้องกิจใช้วิธียืนดูและจดจำสิ่งที่พ่อทำ ก่อนจะเริ่มทำขนมด้วยตัวเอง จนปัจจุบันสามารถขายขนมโตเกียวคนเดียวได้แล้ว และเข็นรถเข็นกลับบ้านเองด้วย

นายคำแสงเล่าต่อว่า เมื่อมีรายการโทรทัศน์ติดต่อมาให้ไปออกรายการเกี่ยวกับการสู้ชีวิตและช่วยพ่อแม่ขายของ น้องกิจปฏิเสธไปหลายครั้ง เพราะกลัวว่าจะต้องปิดร้านหลายวัน กระทั่งขาดรายได้

แต่เมื่อไปออกรายการและมีสื่อต่างๆ มาสัมภาษณ์ก็มีกระแสตอบรับดีมาก มีผู้ชื่นชมน้องกิจมาให้กำลังใจ และมีลูกค้ามาช่วยซื้อขนมโตเกียวเพิ่มมากขึ้น ตนก็รู้สึกดีใจกับลูกชายที่เขาประสบความสำเร็จวันนี้ได้เพราะตัวเขาเอง

พ่อของน้องกิจยังบอกอีกว่า ตั้งแต่น้องกิจเป็นเด็กจนโต พ่อกับแม่จะสอนให้ลูกรู้จักคบคน ศึกษาคนให้ดี และรู้จักประหยัดอดออม เห็นคุณค่าของเงิน ที่กว่าจะได้มาต้องแลกด้วยการทำงานหนัก กว่าจะได้เงินมาแต่ละบาทพ่อต้องเหนื่อยยาก หากลูกๆ รู้จักประหยัด พ่อก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก

โชคดีที่น้องกิจรู้จักหน้าที่ของตัวเอง ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เลิกเรียนมายังขยันทำงานบ้าน ทั้งเก็บกวาดบ้าน ล้างจานชาม ส่วนการมาช่วยขายของ พ่อแม่ไม่ได้บังคับหรือบอกให้มา แต่น้องเป็นคนอยากมาช่วยเอง

ที่ผ่านมา น้องกิจไม่เคยใช้เงินฟุ่มเฟือย ในแต่ละวันหลังกลับจากโรงเรียน จะขอค่าขนมวันละ 10 บาท ไปซื้อพวกน้ำดื่มและขนมตามประสาเด็ก ส่วนเงินที่เหลือจากค่าขนม น้องก็จะหยอดกระปุกไว้ เมื่อรวบรวมได้ 3-4 พันบาท ก็จะเอาเงินทั้งหมดมามอบให้แม่เป็นผู้เก็บรักษา

น้องกิจยังบอกพ่อแม่อีกว่า ตนจะเป็นคนดูแลพ่อกับแม่เอง จะตั้งใจเรียนหนังสือให้จบ และมีความฝันอยากเป็นเจ้าของกิจการ

นายคำแสงเปิดเผยว่า ในฐานะคนเป็นพ่อ ตนรู้สึกภาคภูมิใจกับลูกชายคนนี้ เมื่อมีกระแสตอบรับที่ดีจากสังคมก็รู้สึกดีใจ แต่พยายามเฝ้าเตือนลูกตลอด ให้ตั้งใจเรียน

เพราะตนอยากให้ลูกมีอนาคตที่ดี ไม่ต้องลำบากเหมือนพ่อกับแม่ ขอให้ลูกเรียนให้จบ จะได้มีวิชาความรู้ติดตัว อย่าห่วงเรื่องอื่นๆ มากนัก รวมทั้งการขายของ

ทั้งนี้ พ่อแม่ได้ขอให้น้องกิจคิดถึงอนาคตของตัวเองก่อนเป็นลำดับแรก ถ้าวันไหนพ่อกับแม่ไม่อยู่แล้ว หากลูกไม่มีวิชาความรู้ก็จะลำบาก นี่คือสิ่งที่นายคำแสงและภรรยาเฝ้าบอกลูกชายยอดกตัญญูอยู่เสมอ

ตอนนี้ทุกคนในครอบครัวแซ่อ้ายต่างรู้สึกภาคภูมิใจกับน้องกิจเป็นที่สุด เด็กน้อยสามารถช่วยแบ่งเบาภาระทุกอย่างของพ่อแม่ ไม่เคยทำอะไรให้รู้สึกหนักใจ ไม่มีสิ่งไหนดีไปกว่านี้อีกแล้ว และเชื่อมั่นว่าเขาจะเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีแทนบิดามารดาได้

สำหรับผู้ที่สนใจอยากอุดหนุนขนมโตเกียวของน้องกิจ สามารถเดินทางไปได้ที่ท่าน้ำปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี (ซอยท่าเรือวัดเตย)

โดยร้าน “น้องกิจโตเกียว” จะเปิดขายขนมโตเกียวตั้งแต่เวลา 17.00-21.30 น. หรือโทร.ไปสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 08-4355-3733