ธงทอง จันทรางศุ | ‘หัวอก’ เพื่อนบ้าน

ธงทอง จันทรางศุ

ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาผมหนีไปเที่ยวต่างประเทศมาอีกแล้ว

แต่ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกครับ เพียงแค่ข้ามแม่น้ำโขงไปที่ประเทศลาว หรือที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่าสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เรียกโดยย่อว่า สปป.ลาว นี่เอง

หนนี้เลือกใช้วิธีเดินทางผิดแปลกกว่าทุกครั้ง

ซึ่งแต่ก่อนมาเคยใช้วิธีเดินทางผ่านด่านจากฝั่งจังหวัดหนองคาย แล้วใช้สะพานมิตรภาพเดินทางเข้ากรุงเวียงจันทน์

คราวนี้บินไปจากสนามบินสุวรรณภูมิตรงไปถึงที่หมายปลายทางเลยครับ ใช้เวลาบินไม่ถึง 1 ชั่วโมง ใกล้กว่าบินไปหาดใหญ่เสียอีก

ถ้าท่านใดมีเวลาน้อยจะเลือกใช้วิธีเดินทางแบบนี้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว

ผมใช้เวลาอยู่ที่ลาวสามวันสองคืน โดยมีที่หมายหลักอยู่ที่เมืองวังเวียงซึ่งอยู่ห่างจากเวียงจันทน์ขึ้นไปทางเหนือราว 150 กิโลเมตร แต่ต้องใช้เวลาเดินทางนานถึง 4 ชั่วโมงเศษ เพราะถนนค่อนข้างแคบและสภาพไม่ค่อยดีนัก

อีกทั้งบางตอนต้องขึ้นเขาขึ้นเนินด้วย รถจึงต้องวิ่งไปอย่างช้าๆ

แต่ผมก็ไม่ได้รีบไปไหนอยู่แล้ว สบายมากครับ รายการนี้มาพักผ่อนหย่อนใจจริงๆ นั่งรถชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ

รายการท่องเที่ยวที่เมืองวังเวียงมีอย่างไรบ้างนั้นหลายท่านคงเคยเห็นข้อมูลข่าวสารในช่องทางต่างๆ มาแล้ว

เพราะฉะนั้น ผมจะไม่เอามะพร้าวห้าวมาขายสวน

ขอบอกแต่เพียงย่อๆ ว่า กิจกรรมส่วนใหญ่ที่เมืองท่องเที่ยวแห่งนี้เป็นกิจกรรมเชิงผจญภัยใกล้ชิดธรรมชาติ

เช่น พายเรือคายัคหรือเกาะห่วงยางเป็นหมู่ใหญ่แล้วล่องมาตามน้ำสองซึ่งเป็นแม่น้ำประจำเมืองวังเวียงก็ว่าได้

นอกจากนั้นก็มีการปีนหน้าผาทำนองเดียวกับหาดไร่เลย์ของเราที่จังหวัดกระบี่

การห้อยโหนไปตามลวดสะลิงที่ขึงโยงไว้ระหว่างต้นไม้สูงใหญ่และมีเส้นลวดเชื่อมต่อกันหลายกิโลเมตร เป็นต้น

นักท่องเที่ยวที่อยู่ในวัยหนุ่มน้อยอย่างผมก็ต้องเลือกดูให้เหมาะว่าเราจะทำอะไรได้หรือไม่ได้อย่างไร

อย่างไรเสียผมก็ยังมีอนาคตรออยู่ข้างหน้า อีกสามสิบกว่าปีกว่าจะครบร้อย ยุคสมัยนี้เห็นใครต่อใครอายุ 100 ปีกันถมไป

เราจะเล่นอะไรจึงต้องคิดหน้าคิดหลัง

เมื่อคิดเสร็จก็ลงมือทำ ปรากฏผลว่าสนุกดีครับ

แต่เรื่องที่จะเล่าสู่กันฟังเป็นแก่นสารจริงๆ ไม่ใช่เรื่องผจญภัยเหล่านั้น

หากแต่เป็นข้อสังเกตเล็กๆ ในน้อยที่เก็บตกได้จากการเดินทางครั้งนี้

เรื่องหลักคือความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลาว

ผมพบว่าถ้ามองในด้านการเมืองระหว่างประเทศแล้ว เมื่อเปรียบกันกับเพื่อนบ้านที่อยู่รายรอบประเทศลาว ความผูกพันสนิทสนมกับประเทศเวียดนามเรียกได้ว่าอยู่ในเกณฑ์แน่นแฟ้นมากเลยทีเดียว

เรื่องนี้เข้าใจได้โดยง่ายครับ เพราะมีประวัติความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่ตกทุกข์ได้ยากและรบเคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกันตามอุดมการณ์ทางการเมืองแบบเดียวกันเป็นเครื่องเกื้อหนุนอย่างสำคัญ

ไม่ต้องดูอะไรมากครับ แค่นั่งรถผ่านไปในกรุงเวียงจันทน์ เห็นสถานทูตเวียดนามขนาดใหญ่โตสง่างามที่ตั้งอยู่เคียงข้างกันกับกระทรวงต่างประเทศหรือที่เรียกแบบราชการลาวว่ากระทรวงพัวพันต่างประเทศ

ก็บ่งบอกเป็นนัยแล้วว่า ความผูกพันใกล้ชิดระหว่างสองประเทศนี้เป็นเช่นไร

ในขณะที่ความสัมพันธ์กับประเทศไทยซึ่งทั้งไทยและลาวต่างก็เป็นสมาชิกของอาเซียนด้วยกัน ก็ไม่ได้มีอะไรขาดตกบกพร่อง

ประเทศทั้งสองต่างเป็นมิตรประเทศที่ติดต่อไปมาหาสู่กันฉันเพื่อนที่ดี

แต่อย่างว่าละครับ คนเรามีเพื่อนหลายคน การที่จะมีใจรักชอบเพื่อนคนหนึ่งมากเป็นพิเศษก็ไม่ใช่เรื่องผิดบาปอะไรเลย

ที่ว่ามานั้นเป็นมิติความสัมพันธ์แบบราชการ อารมณ์ว่ารัฐบาลไทยกับรัฐบาลลาวติดต่อชิดชอบกับแบบนั้น

แต่ยังมีความสัมพันธ์อีกมิติหนึ่งที่ลึกซึ้งไม่แพ้กัน หรืออาจจะยิ่งไปกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ

นั่นคือความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนชาวลาวกับประชาชนคนไทย

ซึ่งไม่ต้องพูดอะไรมากเพียงสบตากันก็ส่องทะลุเข้าไปถึงหัวใจเสียแล้ว

แหม! ภาษาพูดก็แสนจะใกล้เคียงกัน

อาหารการกินก็ทั้งแซบทั้งม่วนหลายพอกัน ลาบที่ผมกินวันก่อนยังอร่อยติดลิ้นมาจนถึงวันนี้อยู่เลย

กินข้าวเสร็จก็เดินเข้าวัดไปไหว้พระด้วยกัน

วัฒนธรรมหรือการรับรู้ข่าวสารระหว่างสองประเทศเป็นไปอย่างลึกซึ้งและกว้างขวาง

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วทำไมจะไม่รักใคร่ชอบพอกันเล่า

การท่องเที่ยวไปวังเวียงครั้งนี้ของผมก็มีสมาชิกในคณะเป็นรุ่นน้องชาวเราร่วมเดินทางจากกรุงเวียงจันทน์ไปด้วย

คุณน้องคนนี้รู้จักเมืองไทยในบางเรื่องมากกว่าผมเสียอีก

เขาเป็นแฟนคลับและสามารถเล่าเรื่องเป๊ก ผลิตโชค ได้เป็นคุ้งเป็นแคว

จนผมชักงุนงงสงสัยเสียแล้วว่า ตกลงใครเป็นลาว ใครเป็นไทยกันแน่

ในแง่มุมของการท่องเที่ยวซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชนด้วยกัน ลาวยังมีอะไรให้เราได้ชื่นชมและสัมผัสอีกมาก การเดินทางก็สะดวก ค่าใช้จ่ายก็ไม่โหดร้าย ปัญหา อุปสรรคเรื่องภาษาก็ไม่มี

แต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางเข้าไปในประเทศลาวเป็นจำนวนไม่น้อย และก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอีกในวันข้างหน้า

ผมสังเกตดูมิตรจิตมิตรใจที่เจ้าของบ้านชาวลาวมีมอบให้กับนักท่องเที่ยวชาวไทยเช่นผม ไม่ว่าจะเป็นในโรงแรม ร้านอาหาร หรือน้องเจ้าของเรือคนที่ต้องรับภาระหนักพายเรือคายัคให้ผมนั่งนานสองชั่วโมงแล้ว ล้วนแต่เป็นความรู้สึกในแง่มุมดีๆ ที่มีให้แก่กัน

เป็นรอยยิ้มที่ตรงไปตรงมา มาจากหัวใจและหลายครั้งที่เราเข้าใจกันได้โดยไม่ต้องพูด

ฟังดูดีไปหมดใช่ไหมครับ แต่เหตุการณ์ที่ “ไม่ราบรื่น” ก็มีอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับคณะท่องเที่ยวของผมนะครับ เพียงแต่มีเพื่อนฝูงชาวลาวเล่าให้ฟัง ผมก็อยากนำมาบอกกล่าวไว้บ้าง

เผื่อจะเป็นประโยชน์กับใครก็ตามที

เรื่องคือว่าอย่างนี้ครับ เวลาที่มีคณะเดินทางไปจากประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปท่องเที่ยวหรือไปเพื่อกิจธุระอะไรก็ตาม มีบางครั้งและน้อยครั้งที่มีชาวลาวมาร่วมอยู่ในคณะเดินทางด้วย เช่น เป็นฝ่ายเจ้าภาพหรือทำหน้าที่เป็นไกด์ประจำคณะ

แต่ผู้มาเยือนจากเมืองไทยก็พูดอะไรตามใจชอบโดยไม่ได้ระมัดระวังความรู้สึกของเจ้าบ้าน

บางครั้งก็นำไปเปรียบเทียบกับการเดินทางไปในประเทศอื่น เช่น ประเทศญี่ปุ่น กินอาหารที่เลี้ยงรับรองเสร็จก็เปรยขึ้นว่า อาหารลาวอร่อยสู้อาหารไทยและอาหารญี่ปุ่นไม่ได้ ถนนหนทางก็ไม่ดี อิโหลกโขลกเขลก ที่พักที่จัดให้ก็ใช้ไม่ได้

ลองนึกดูสิครับว่า คำพูดแบบนี้จะทำร้ายจิตใจของฝ่ายผู้เป็นเจ้าของบ้านได้สักเพียงใด

ถ้ามีคนต่างชาติมาพูดอย่างนี้กับเราบ้าง เราจะรู้สึกอย่างไร เขาก็รู้สึกไม่แตกต่างกันครับ

เรื่องอย่างนี้ไม่เกี่ยวกับเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างไทยลาว แต่เกี่ยวข้องและต้องระมัดระวังไปหมดไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปในประเทศใดก็แล้วแต่ นักท่องเที่ยวหรือคนเดินทางที่มีมารยาทควรต้องละเว้นการปฏิบัติเช่นนี้

ยิ่งถ้าเป็นการเดินทางไปในฐานะผู้แทนของหน่วยงานจากประเทศไทย ไปประเทศไหนก็แล้วแต่ ผมว่าจะไปพูดจาเลอะเทอะแบบนี้ไม่ได้แน่ เสียหายเป็นการส่วนตัวยังพอทำเนา แต่จะรู้หรือไม่ว่าความเสียหายลุกลามมาถึงประเทศและหน่วยงานของตัวเองด้วย

ประสบการณ์อย่างนี้ไม่มีสอนกันในโรงเรียน หากแต่ต้องใช้สามัญสำนึกเป็นเครื่องกำกับวาจาและการกระทำของเราให้พอเหมาะพอควร

เราไม่ได้อยู่กระทรวงการต่างประเทศที่ต้องมีหน้าที่ไปสร้างความสัมพันธ์อะไรให้แน่นแฟ้นเป็นพิเศษ

แต่เราก็ไม่ควรทำงานอยู่ “กระทรวงทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” ด้วยนะครับ เข้าตำรามือไม่พายอย่าเอาเท้าราน้ำ

ถ้าอยากทราบว่าผู้แทนจากหน่วยงานไหนของบ้านเราไปพูดจาทำนองนี้ ติดต่อมาหลังไมค์ดีไหมครับ

คันปากอยากพูด คันมืออยากเขียนจะแย่อยู่แล้ว