เทศมองไทย : ทรัมป์-ปธน.หญิงไต้หวัน “ยกหู” 10 นาที นักวิชาการชี้ “นี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน”

AFP PHOTO

ความเคลื่อนไหวหลายอย่างหลายประการในระดับโลก แม้จะห่างไกลเหลือเกิน แต่ในบางเรื่อง บางประการ เราก็ไม่บังควรวางเฉย ประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่ำทรามไปเป็นอันขาด

กรณีการพูดคุยกันทางโทรศัพท์เพียง 10 นาที ระหว่าง “ว่าที่” ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา กับประธานาธิบดีหญิงคนแรกของไต้หวัน คือบางเรื่องบางประการที่ว่านั้น การสนทนาทางโทรศัพท์ดังกล่าวคงไม่เป็นข่าวคราวโด่งดังไปทั่วโลก ถ้าหากฝ่ายหนึ่งไม่ใช่ โดนัลด์ ทรัมป์ และอีกฝ่ายหนึ่งไม่เป็น ไช่ อิง เหวิน

เหตุผลเพราะฝ่ายแรกตั้วตัวเป็นปฏิปักษ์กับทางการปักกิ่งมาตั้งแต่ตอนรณรงค์หาเสียง

ส่วนอีกฝ่ายก็เป็นตัวแทนของพรรคการเมืองที่มีแนวนโยบายแยกไต้หวันออกเป็นอิสระ ไม่ขึ้นอยู่กับจีนแผ่นดินใหญ่อีกต่อไป ไม่ว่าจะในสถานะของ “ผู้ครอบครองโดยชอบธรรม” เหนือแผ่นดินใหญ่จีน ซึ่งเป็นจุดยืนที่ก๊กมินตั๋งยึดถือมานาน หรือในสถานะที่เป็น “ส่วนหนึ่งของแผ่นดินใหญ่จีน” ที่ทางการปักกิ่งยืนกรานมาโดยตลอดก็ตามที

ด้วยเหตุผลเพียงแค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้รัฐบาลจีนในกรุงปักกิ่ง “ควันออกหู” ได้แล้ว

นี่ยังไม่นับรวมกับข้อเท็จจริงที่ว่า สิ่งที่ทรัมป์กระทำลงไปเป็นการแหวกขนบประเพณีทางการทูตที่ทางการสหรัฐอเมริกายึดถือมานับตั้งแต่ปี 1979 เมื่อมีการประกาศนโยบาย “จีนเดียว” ออกมาอย่างเป็นทางการ

เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างหนัก ทรัมป์ยังใช้ทวิตเตอร์ ทวีตข้อความ 277 ตัวอักษร ถล่มทางการจีนเป็นการโต้เสียงวิจารณ์อีกรอบ แตะทั้งเรื่อง “บิดเบือนค่าเงินหยวน” ให้ต่ำกว่าความเป็นจริง และเรื่องการก่อสร้าง “สิ่งปลูกสร้างทางทหารขนานใหญ่” ในพื้นที่ทะเลจีนใต้ อีกต่างหาก

เนื้อความพูดเป็นทำนองว่า ทีจีนทำทั้งสองเรื่องที่ว่า ก็ไม่ได้มาถามสหรัฐอเมริกา แล้วทำไมตนอยากทำอะไร ถึงต้องไปกังวลกับจีน?

 

เสิ่น ติง ลี่ ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ประจำมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น ในนครเซี่ยงไฮ้ ใช้คำว่า “ไม่รู้ แล้วยังไม่มีรสนิยม” มาอธิบายพฤติกรรมครั้งนี้ของทรัมป์ ศาสตราจารย์เสิ่นบอกว่า รัฐบาลจีนจะทำอย่างไรก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าถ้าเป็นตน สิ่งที่จะทำก็คือ “ปิดสถานทูตจีน” ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตไปเลย

เล่นแสดงออกกัน “แรงๆ” ตั้งแต่ยังไม่ขึ้นดำรงตำแหน่งแบบนี้ ไม่ให้ความสนใจก็คงไม่ได้แล้ว

นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศชาวจีนอีกรายคือ สือ ยาน หง ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศของมหาวิทยาลัยเหรินหมิน บอกกับ ทอม ฟิลลิปส์ แห่งการ์เดียน ว่า พิจารณาจากข้อความที่ทรัมป์ทวีตเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ไล่หลังกับการพูดคุยกับผู้นำไต้หวันเมื่อวันที่ 2 ธันวาคมแล้ว โอกาสที่จะเกิด “แตกหัก” ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนก็ “เพิ่มมากขึ้น”

“ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะคาดการณ์อะไรได้แม่นยำ แต่ผมคิดว่าผมได้เห็นพายุตั้งเค้าอยู่ตรงเส้นขอบฟ้าแล้ว” และย้ำว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน”

เขาบอกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเสมือนเครื่องมือ “เตือน” ให้สื่อมวลชนจีนก็ดี, นักวิชาการชาวจีนด้านกิจการระหว่างประเทศ และแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ส่วนหนึ่งในคณะรัฐบาลจีนให้ “ได้คิด” ว่า สิ่งที่เคยคาดคิดกันไว้ก่อนหน้านี้เกี่ยวกับจุดยืนและนโยบายจีนของทรัมป์นั้นเป็นการ “มองในแง่ดีเกินจริง”

ที่น่าสนใจมากขึ้นไปอีกก็คือ ข้อถกเถียงกันในเวลานี้ว่าสิ่งที่ทรัมป์ทำลงไปนั้น เป็นเพียง “อุบัติเหตุ” เพราะความ “ไร้เดียงสา” ทางด้านการต่างประเทศจริงหรือ?


ผู้เชี่ยวชาญระดับ “สเปเชียลิสต์” ในวอชิงตันรายหนึ่งบอกกับ ทอม ฟิลลิปส์ ว่า ขอยืนยัน 100 เปอร์เซ็นต์ว่า นี่ไม่ใช่ “เรื่องบังเอิญ” แต่เป็นการเตรียมการล่วงหน้านาน “หลายสัปดาห์” ก่อนหน้าที่จะมีการพูดคุยกัน 10 นาที

ความข้อนี้ตรงกับ “แหล่งข่าว” ของ วอชิงตันโพสต์ ที่ยืนยันเช่นกันว่า ทรัมป์ “จงใจ” กระทำการ “ชนิดคิดคำนวณมาเป็นอย่างดี” ครั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่า ประธานาธิบดีรีพับลิกันคนใหม่ “ไม่กลัว” ที่จะเล่นอะไร “หนักๆ แรงๆ” กับทางการปักกิ่ง

เหมือนอย่างที่ สตีเฟน เยตส์ ผู้เชี่ยวชาญจีนซึ่งบางคนเชื่อว่าเป็นคนที่มีส่วนช่วยให้เกิดการสนทนา 10 นาทีดังกล่าวขึ้น เขียนบอกเอาไว้ในเว็บไซต์ ฟอกซ์นิวส์ บอกเป็นนัยๆ ว่า การสนทนากับ ไช่ อิง เหวิน ถูก “ออกแบบมา” เพื่อแสดงให้รัฐบาลจีน “ที่ฉ้อฉลและเบ็ดเสร็จ” ไม่สามารถมาเจ้ากี้เจ้าการบงการว่าประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจะพูดกับใครได้หรือไม่ได้อีกต่อไป

นักสังเกตการณ์บางคนชี้ว่า นี่คือ “หนังตัวอย่าง” ของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนในอนาคต ซึ่งจะสะเทือนไปทั่วโลก

พายุตั้งเค้าแล้ว ก็เป็นไปได้ที่จะมีทั้งลมทั้งฝนกระหน่ำให้เปียกปอนไปตามๆ กันครับ