การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ กระแสลมใหม่ๆ กำลังจะกรูไล่กันมา

[ดวงดาวถัดมาเป็นถิ่นฐานของชายขี้เมา การเยี่ยมเยือนครั้งนี้ใช้เวลาสั้นมาก แต่ก็ทำความเศร้าใจให้เขามากเช่นกัน (1)

– คุณกำลังทำอะไร เขาถามชายขี้เมาที่จมอยู่ในความเงียบหน้าขวดเหล้ากองโตทั้งที่มีเหล้าเต็มและที่เป็นขวดเปล่าๆ

– ฉันกำลังกินเหล้า ชายขี้เมาตอบด้วยท่าทางเศร้าสลด

– ทำไมคุณต้องกินเหล้าด้วย เจ้าชายน้อยถาม

– เพื่อลืมอะไรบางอย่าง ชายขี้เมาตอบ

– ลืมอะไรล่ะ เจ้าชายน้อยถามด้วยความสงสาร

– ลืมเรื่องที่น่าอับอาย ชายขี้เมาตอบแล้วก้มหน้า

– แล้วคุณอายเรื่องอะไร เขาถามเพราะอยากจะช่วยเหลือ

– อายเรื่องที่ต้องกินเหล้านะซี ชายขี้เมาตอบแล้วเก็บตัวเข้าสู่ความเงียบ…]

 

ฉันกินเหล้าครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กันนะ…ดูเหมือนว่า จะมีอยู่หลายครั้งที่รสชาติบาดคอ…ไหลผ่านเข้าคอ และวาบอุ่นลงไปในกระเพาะลำไส้ มันก็ไม่เลวเลยใช่ไหม เมื่อน้ำเมาเหล่านั้นออกฤทธิ์ ก็ยังพอจำได้เลือนรางว่า บางครั้งก็ทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น…ในชั่วครู่ยามเหล่านั้น

เหมือนวันไหนสักวันหนึ่ง ซึ่งฉันเพ่งตามองโคมกระเบื้องรูปกลีบดอกไม้ ดูลวดลายจางๆ สีน้ำเงินที่สวยเหลือเกิน ณ ขณะนั้น

พลัน ได้กลิ่นสาบน้ำเบียร์เจือมากับลมหายใจ

“ดูอะไร” นางฟ้าถามฉัน

“…ไม่มีอะไรฮะ”

“นี่…” นางฟ้าดึงไหล่ “ถามอะไรหน่อยสิ”

“อะไร…”

มันเป็นเช่นนั้นใช่มั้ย เมื่อสมองกับใจของเราเริ่มเลอะเลือนละลาย เมื่อในอกใจมีความกลัวสั่นไหวอยู่ในความกล้า เมื่อ…บทกวีเริ่มร่ายเรียงออกมาในสัมปชัญญะที่เหลืออยู่

โอ้นางฟ้าของคนยากไร้

ดั่งนางเทวดาผู้เสียบแซมดอกไม้ไว้บนมุ่นมวยผม

โบยบินลงมากับพายุสายลม

จูบซับความตรอมตรมของฉันไว้

เธอช่างงดงามเหลือเกิน

ผู้เดียวที่จะพาฉันเผชิญวันใหม่

ผู้เดียวที่จะพาฉันก้าวข้ามไป…

“เธอจะทำอะไร” กลับเป็นเสียงของนางฟ้าที่เริ่มพร่าแผ่ว

“ไม่รู้”

“เธอยังไม่ได้ตอบเราเลย” นางฟ้าว่า

“…เรากำลังจะตอบพี่ไงคะ…”

“ตอบว่ายังไง”

“เราเคยอยากตายไปให้พ้นๆ เสีย…แต่แล้ว เราก็เจอพี่”

นั่นคือสิ่งที่พ้นปากฉันออกไป ในวันที่โคมรูปดอกไม้ให้แสงละมุนกระจ่าง และดวงหน้าที่งดงามอยู่ใกล้แค่คืบ

“…พี่ทำให้เราอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก พี่ทำให้เราอยากเปลี่ยนตัวเองดูอีกสักครั้ง เราอยากเป็นคนที่ช่วยพี่และคนอื่นๆ ได้บ้าง”

นางฟ้าสบตาฉัน และตาคู่นั้นก็พร่างพราวไปด้วยรอยยิ้ม

“…เรารักพี่แล้วน่ะ พี่ให้เรารักพี่ได้ไหม”

“ถ้าไม่ให้ล่ะ”

“เราก็จะรักพี่ข้างเดียวตลอดไป”

กลิ่นน้ำเบียร์ฟุ้งผ่านออกมากับลมหายใจอีก ก่อนนางฟ้าจะยิ้มออกมา

ให้ตายเถอะ! ฉันเพิ่งเข้าใจในบัดเดี๋ยวนี้เองว่า ในเวลาที่ริมฝีปากนั้นเผยออก มันบอกความเศร้าอย่างลึกล้ำและชัดเจนแค่ไหน

“ขอบคุณนะ…” นางฟ้าโอบรัดตัวฉันเอาไว้

แล้วกดหัวฉันเอาไว้ในอ้อมแขนแสนอุ่น

“นอนนะ…”

 

[อีกครั้งที่ผมหนาวสะท้านด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบาย ผมไม่อาจทนต่อความคิดที่ว่าผมคงไม่ได้ยินเสียงหัวเราะของเขาอีก สำหรับผมแล้ว เสียงของเขาคือธารน้ำเย็นในทะเลทรายร้อนแล้งนั่นเทียว

– เด็กน้อย ฉันอยากได้ยินเธอหัวเราะอีก

แต่เขาตอบว่า

– คืนนี้จะครบหนึ่งปีแล้ว ดาวของผมจะโคจรมาอยู่ในตำแหน่งเดิมที่ผมตกลงมาเมื่อปีก่อน

– เด็กน้อย มันเป็นเพียงฝันร้ายใช่ไหม เรื่องงู การนัดพบ และดวงดาวเหล่านั้นน่ะ

เขาไม่ตอบคำถามอีก กลับเอ่ยว่า

– สิ่งสำคัญที่ตาของเรามองไม่เห็น

– ถูกแล้ว

– เรื่องดอกไม้ก็เหมือนกัน ถ้าคุณหลงรักดอกไม้ดอกหนึ่งที่อาจพบได้บนดาวดวงหนึ่ง คุณจะมีความสุขกับการได้แหงนมองฟ้าในเวลากลางคืน ดาวทุกดวงประดับประดาด้วยดอกไม้

– ถูกแล้ว

– เรื่องน้ำก็เหมือนกัน น้ำที่คุณให้ผมดื่มมีรสหอมหวานดุจเสียงดนตรี เพราะมันมีลูกรอกกับเชือก คุณยังจำได้ใช่ไหม ถึงความหวานชื่นของมัน

– ถูกแล้ว

– แล้วคุณจะต้องคอยเฝ้ามองดวงดาวในย่ำค่ำคืน บ้านผมหลังเล็กเกินกว่าจะชี้ให้คุณดู แต่มันก็ดีแล้ว ดาวของผมก็จะเป็นดวงหนึ่งในมากมายหลายล้านดวงของคุณ และคุณก็จะรักที่จะได้แหงนมองดาวทุกดวง พวกเธอทั้งหมดจะเป็นเพื่อนคุณ แล้วผมก็จะให้ของขวัญแก่คุณ]

เพียงบัว, นี่ฉันกำลังเข้าใจทุกสิ่งอย่างดีมากขึ้นเรื่อยๆ…หรือเปล่า…ในนาทีที่ฉันเดินออกมาในยามรุ่งเช้า ที่ตะวันดวงเดิมลอยขึ้นเหนือยอดไม้เบื้องหน้า

ฉันเดินออกมาจากบริเวณที่ดินผืนเก่าของยาย ผ่านประตูรั้วไร้บาน สู่แดดอันพร่าพร่างจนแทบแสบตา รู้…ว่ามีดวงตาละห้อยโหยหาของญาติผู้น้องอยู่เบื้องหลัง

ความรัก ความไม่รัก ความเจ็บปวดรวดร้าว และความว่างเปล่าของการมีชีวิต, ทุกช่วงของการดำเนินชีวิตทั้งมวล ล้วนแค่ว่า จะนำพาเราไปสู่ความตาย

เร็วหรือช้า เราก็จะต้องตาย

มันคือปลายทางสุดท้าย อย่างน้อยที่สุด การตายจากความทรงจำ

 

[เขาหัวเราะอีก

– อา เด็กน้อย ฉันรักเสียงหัวเราะของเธอ

– นี่คือของขวัญจากผม มันก็เหมือนกับน้ำ…

– หมายความว่าอย่างไร

– คนเราให้คุณค่าดวงดาวไม่เหมือนกัน สำหรับนักเดินทาง ดวงดาวคือคนนำทาง สำหรับคนอื่นๆ พวกเธอไม่เป็นอะไรนอกจากแสงเรืองเล็กๆ สำหรับนักคิดดวงดาวจะเป็นปัญหาให้ขบคิด สำหรับนักธุรกิจของผมพวกเธอจะเป็นดุจทองคำ และสำหรับคุณ คุณจะมีดวงดาวที่ไม่เหมือนของใคร

– หมายความว่าอย่างไร

– เมื่อคุณแหงนมองท้องฟ้าในเวลากลางคืน เพราะผมกำลังหัวเราะอยู่บนดาวดวงหนึ่งในหลายๆ ดวงเหล่านั้น ดังนั้น สำหรับคุณจึงดูราวกับดาวทุกดวงกำลังหัวเราะ และคุณก็จะมีดวงดาวที่หัวเราะได้…]

 

ฉันเคยคิดว่า ฉันเติบโตขึ้นกะทันหันในชั่วหนึ่งเสี้ยวเวลา แต่ทว่า ฉันก็พบอีกว่า ฉันไม่เคยหยุดการเติบโตพอๆ กับการตกต่ำ สองสิ่งนั้นทั้งบีบรัดพัวพันและปะทะผลักไส ใต้เปลือกหนาของฉันมีแก่นแกนเปราะบาง หรือว่าภายนอกต่างหากที่นิ่มเหลวเกินไป? จนลึกเข้าไป มีแต่แด้หนอนนอนใน พวกมันดิ้นรนชอนไช จน…จนฉันจึงไม่อาจจะทำอะไรได้ นอกจากจะปล่อยให้คราบเมือกไคลเหล่านั้นกลั่นออกมาเป็นบทกวี

สิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่นี้ ที่เด็กผมขอดถามว่า “…ทำไปทำไม” ก็จึงไม่ใช่อะไรเลย แค่การทำอะไรสักอย่างระหว่างการรอเวลา

ฉันแค่รอเวลา ที่จะพบงูสักตัวของฉันเท่านั้น

 

แต่ในวันที่ฉันยืนมองดูดวงตะวันในยามเช้า เพื่อจะตกผลึกกับตัวเองว่า ไม่ว่าฉันจะฝันหรือไม่ฝันถึงสิ่งใด ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยในโลกของฉัน สัจธรรมนิจนิรันดร์ก็คือ ชีวิตคือขี้ฝุ่นหรือขี้หมา ฉันแค่ก่อกำเนิดมา เหมือนกองขี้ที่หล่นจากก้นของหมาตัวหนึ่ง

หมาตัวหนึ่ง ง้างขาขี้แล้วมันก็เดินจากไป ฉันเพียงมีชีวิตอยู่ในแสงแดดสายลม เป็นกองอาจมธรรมดาๆ

ถ้าฉันจะหายสาบสูญไป ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสำหรับใครเลย

ไม่ว่าฉันจะทำหรือไม่ทำอะไรเลย โลกนี้ก็มีรอบหมุนเดิมๆ ของมัน

…แต่ในวันนั้นนั่นเองที่บุรุษไปรษณีย์ขี่รถเครื่องมาในยามพลบค่ำ นำซองใบหนามาส่งให้

มีหนังสือเล่มหนึ่งส่งมาพร้อมกับจดหมาย หน้าปกเป็นภาพคล้ายๆ ใบหญ้าสีน้ำตาลกำลังโอนเอนไหว แต่มีอยู่ใบหนึ่ง เพียงใบเดียวที่เขียวสด ปรากฏสะบัดพลิ้วสวนกระแส

ตัวหนังสือโตๆ เขียนว่า ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว

มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ เขียน

 

[คนเดินทางจ๊ะ

ฉันส่งหนังสือมาให้เธออีกเล่มหนึ่ง มันน่าจะเป็นเรื่องที่เหมาะกับเธอ พี่ชายคนหนึ่งของฉันแนะนำมาให้ เขาบอกว่ามันให้แรงบันดาลใจกับหลายๆ คนอย่างมาก แต่สารภาพนะจ๊ะ ฉันก็ยังไม่ได้อ่านมันหรอก หนังสือออกมานานแล้วแต่เพิ่งมีโอกาสซื้อได้ ฉันส่งมาให้เธออ่านก่อนเลยดีกว่า ถ้าเธออ่านจบแล้วค่อยเล่าให้ฉันฟังอีกทีดีไหม

อ้อ…แล้วเธออ่านเจ้าชายน้อยจบหรือยัง หรือว่าอ่านไปกี่ครั้งแล้ว รู้มั้ยว่าฉันน่ะอ่านไปถึงห้ารอบแน่ะ! เพราะทุกครั้งที่อ่านไม่เคยรู้สึกอย่างเก่าเลย!]

ยืนอยู่กับท้องฟ้าสีส้มจ้าจัด ช่วงตะวันชิงพลบ ก่อนความมืดจะทับทบลงมาเหมือนทุกวัน ขณะในมือถือซองพัสดุจดหมาย จมูกยังได้กลิ่นหมึกพิมพ์ใหม่บนกระดาษจางๆ ระหว่างความคิดสับสนอลหม่านเช่นเคย ฉันไม่รู้ตัวล่วงหน้าเลย ไม่เคยคิดแม้แต่นิดเดียว ว่ากระแสลมใหม่ๆ กำลังจะกรูไล่กันมากับใบหญ้าเรียว

—————————————————————————————————————————-
(1) จากหนังสือเรื่อง เจ้าชายน้อย, อังตวน เดอ แซงเตกซูเปรี เขียน, อริยา ไพฑูรย์ แปล