รายงานพิเศษ : คุยกับทูต ฆิลเบร์โต โมวร่า หม้อที่หลอมรวมความหลากหลาย… มหัศจรรย์บราซิล (1)

บราซิลหรือสหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล (Federal Republic of Brazil) เป็นประเทศที่มีเสน่ห์ น่าจับตามอง

มีสิ่งที่น่าสนใจมากมายที่สามารถดึงดูดให้นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ ตลอดจนนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้ก้าวเท้าเข้ามาเยือน

จากประวัติศาสตร์ที่โดดเด่นกว่าดินแดนอื่นๆ ในภูมิภาค

มีเนื้อที่ 8,511,965 ตร.ก.ม. ใหญ่ที่สุดในแถบกลุ่มประเทศในทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้ (ละตินอเมริกา)

เป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ของโลก พอๆ กับสหรัฐอเมริกา

โดยมีขนาดเป็นสี่เท่าของประเทศเม็กซิโก

และใหญ่กว่าประเทศอินเดียเกินสองเท่า

บราซิลมีประชากรกว่า 200 ล้านคน มากที่สุดในทวีปอเมริกาใต้

ป่าอะเมซอน (Amazon) คือป่าที่ใหญ่ที่สุดของบราซิล และใหญ่ที่สุดของโลก กินเนื้อที่กว้างถึง 2 ใน 5 ของอเมริกาใต้ ครอบคลุมพื้นที่ครึ่งหนึ่งของบราซิล ที่เหลือนั้นแผ่เข้าไปในอีก 8 ประเทศใกล้เคียง

ว่ากันว่า ไม่มีป่าดงดิบใดจะกว้างใหญ่ไพศาล และคงความบริสุทธิ์ยิ่งไปกว่าป่าอะเมซอน

 

ชื่อประเทศบราซิลมีที่มาจากชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่งเรียกว่า บราซิลวูด (Brazilwood Tree) หรือ Pau-Brasil ในภาษาโปรตุเกส

ประชากรส่วนใหญ่ของบราซิลใช้ภาษาโปรตุเกสเป็นภาษาหลักและใช้เป็นภาษาราชการด้วย เนื่องจากเคยตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศโปรตุเกสสมัยศตวรรษที่ 16-19 ตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคม

ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ในแถบนี้ ถูกยึดครองโดยประเทศสเปน บราซิลจึงเป็นเพียงประเทศเดียวในเขตนี้ที่ใช้ภาษาโปรตุเกส

ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ใช้ภาษาสเปน

การประกาศเอกราชของบราซิลมาจากเหตุการณ์ทางการเมืองและการทหารที่เกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ.1821-1824 ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทระหว่างบราซิลและโปรตุเกสในการเรียกร้องเพื่ออิสรภาพของจักรวรรดิบราซิล

และในที่สุดเจ้าชายเปโดรที่ 1 (Prince Dom Pedro I) ประกาศตั้งบราซิลเป็นอิสระจากโปรตุเกสเมื่อวันที่ 7 กันยายน ค.ศ.1822

และได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการพร้อมกับสนธิสัญญาที่ลงนามโดยบราซิลและโปรตุเกสในช่วงปลายปี ค.ศ.1825

 

กรุงบราซิเลีย (Brasilia) เป็นเมืองหลวงใหม่ของบราซิลตั้งแต่ปี ค.ศ.1960 เมืองสำคัญในบราซิลอีก 2 เมือง คือ เซาเปาลู หรือ เซาเปาโล (S?o Paulo) และ รีโอ เด จาเนโร (Rio de Janeiro)

เมืองเซาเปาโล อยู่ในรัฐเซาเปาโล เป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของประเทศ

เพราะเป็นศูนย์กลางทางการเงิน

เป็นที่ตั้งของตลาดหุ้นบราซิลโบเวซสปา (BOVESPA Index)

และยังเป็นที่ตั้งของท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของทวีปอเมริกาใต้

คือ ท่าเรือเมืองซานโตส (Port of Santos) ที่มีอัตราการถ่ายเทสินค้ามากที่สุดของประเทศ

แต่ได้เกิดเหตุไฟไหม้ใหญ่เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สร้างความเสียหายให้แก่น้ำตาลราว 180,000 ตันที่เก็บเอาไว้ในโกดังสินค้า

นครรีโอ เด จาเนโร มีความหมายว่า “แม่น้ำแห่งเดือนมกราคม” (River of January) มักเรียกโดยย่อว่า รีโอ (Rio) อยู่ในรัฐรีโอ เด จาเนโร เป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยว การขนส่ง และการเงินของประเทศ

รวมทั้งเป็นที่ตั้งสำนักงานบริษัทน้ำมันแห่งชาติเปโตรบราส (Petrobras) ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ.1953

นครรีโอ เป็นเมืองที่มีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์ของบราซิล เนื่องจากเคยเป็นเมืองหลวงของประเทศเมื่อปี ค.ศ.1763 นับตั้งแต่บราซิลยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของโปรตุเกส

เป็นเมืองที่กล่าวขานกันว่างดงามที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

และเป็นที่รู้จักในด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะชายหาดกอปากาบานา (Copacabana) และอีปาเนมา (Ipanema) และรูปปั้นพระเยซูขนาดใหญ่ที่รู้จักในชื่อ อูกริชตูเรเดงโตร์ (O Cristo Redentor – Christ the Redeemer) บนยอดเขากอร์โกวาดู (Mount Corcovado)

รีโอถือเป็นเมืองที่มีสีสันมากที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง โดยเฉพาะช่วง “คาร์นิวัล” (Carnival Festival)

เทศกาลสุดฟู่ฟ่าอลังการแห่งแดนแซมบ้าที่ดังที่สุดในโลกมักจัดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี

มีขบวนแห่อันยิ่งใหญ่ตระการตา ซึ่งแต่ละเมืองจะนำการเต้นรำในจังหวะแซมบ้า (samba) อันมีต้นตอมาจากทวีปแอฟริกา ผ่านทางการค้าทาสแอฟริกาตะวันตก มาแข่งขันประชันกัน ทั้งท่าเต้นและดนตรีที่สุดแสนจะเร้าใจ

ชุดของนักเต้น ก็จะต้องอลังการงานสร้างไม่น้อยหน้ากันอีกด้วย

 

บราซิลเป็นดินแดนแห่งเกษตรกรรมและป่าเขตร้อน

มีทรัพยากรธรรมชาติมากมายและมีแรงงานเป็นจำนวนมาก

จึงทำให้เป็นประเทศที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สูงที่สุดในทวีปอเมริกาใต้

และสูงเป็นอันดับที่ 9 ของโลก

จัดอันดับในปี ค.ศ.2016 โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund – IMF) และธนาคารโลก (World Bank)

กิจกรรมนานาชาติที่ได้เกิดขึ้นในประเทศบราซิล ได้แก่ การเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก (2014 FIFA World Cup) และเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก (Rio Olympics 2016) เมื่อวันที่ 5-21 สิงหาคมที่ผ่านมาโดยมีนครรีโอ เด จาเนโร เป็นเมืองเจ้าภาพในการจัดงาน

และยังได้เสนอตัวเป็นเจ้าภาพงาน Expo 2020 ณ นครเซาเปาโล โดยจะมีการพิจารณาตัดสินเมืองที่เหมาะสมในปลายปีนี้

บราซิลเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและกลายเป็นประเทศมหาอำนาจที่มีบทบาทในเวทีโลกอย่างมีนัยยะสำคัญ

โดยเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว (BRICS) อันประกอบด้วย บราซิล (Brazil) รัสเซีย (Russia) อินเดีย (India) จีน (China) และแอฟริกาใต้ (South Africa)

แต่กว่าจะถึงจุดนี้ บราซิลก็เจ็บตัวมาแล้วหลังจากต้องตกอยู่ในสภาพวิกฤตซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งในทางเศรษฐกิจและการเมือง

ถึงกระนั้น บราซิลก็ได้รับการจัดอันดับจากที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) ให้เป็นประเทศที่น่าลงทุนเป็นอันดับที่ 3 ของโลกรองจากจีนและอินเดีย

แต่เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้ ผู้บริหารของรัฐรีโอ เด จาเนโร ได้ออกมาประกาศมาตรการเพื่อแก้ไขวิกฤตทางด้านการเงินที่รัฐกำลังเผชิญอยู่ (Austerity Package) ซึ่งเป็นผลจากวิกฤตการเมือง เศรษฐกิจที่ตกต่ำของบราซิล และราคาน้ำมันที่ลดลงในตลาดโลก

 

ประเทศไทยและบราซิลได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน ค.ศ.1959 นับถึงขณะนี้เป็นระยะเวลา 57 ปี ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศดำเนินด้วยดีเสมอมา

เอกอัครราชทูตไทยปัจจุบันคือ นายพิชยพันธุ์ ชาญภูมิดล เข้ารับตำแหน่งเมื่อ 8 มีนาคม ค.ศ.2014 ณ กรุงบราซิเลีย ประเทศบราซิล

และยังมีสำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบราซิเลีย

สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครเซาเปาโล

สถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ณ นครรีโอ เด จาเนโร และนครเซาเปาโล

สถานเอกอัครราชทูตบราซิลประจำประเทศไทยมี นายฆิลเบร์โต ฟอนเซกา กีมา ไรส์ เด โมวร่า (Gilberto Fonseca -Guimaraes de Moura) ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตคนปัจจุบัน

 

หลังจากพาชมบริเวณทำเนียบเอกอัครราชทูตอันโอ่อ่าสามชั้น ในแถบสงบเงียบแถวถนนเชื้อเพลิงซึ่งภายในตกแต่งด้วยภาพเขียนงดงามจากบราซิล รวมทั้งของที่ระลึกจากประเทศต่างๆ

ท่านทูตโมวร่า ผู้มีบุคลิกคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง ช่างเจรจาด้วยความสุภาพอ่อนน้อม สมกับเป็นนักการทูต เล่าลำดับเส้นทางชีวิตให้ฟังอย่างเพลิดเพลิน

แต่ไม่ลืมที่จะเรียกหาอาหารว่าง ได้แก่ เค้กเนื้อนุ่มและขนมปังชีสสไตล์บราซิเลียน (Brazilian Cheese Bread – P?o de Queijo) อันหอมกรุ่น เสิร์ฟพร้อมชาร้อนในบ่ายวันนั้น

“ผมเป็นเอกอัครราชทูตบราซิลประจำประเทศสโลวีเนีย (Slovenia) ปี ค.ศ.2012 ก่อนมารับตำแหน่งที่ประเทศไทยปี ค.ศ.2014 โดยมีเขตอาณาครอบคลุมประเทศกัมพูชาและ สปป.ลาว”

“ผมเกิดเมื่อวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ.1952 ที่นครรีโอ เด จาเนโร อยู่ติดชายฝั่งทะเลซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของประเทศบราซิลนานเกือบ 3 ศตวรรษ ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ แต่ด้วยความแออัด และอาณาเขตที่อยู่ห่างไกลสุดขอบแผ่นดิน ทำให้รัฐบาลมีความคิดที่จะย้ายเมืองหลวงขยับเข้าไปใจกลางแผ่นดินมากขึ้นเพื่อกระจายความเจริญให้ทั่วถึง และป้องกันการโจมตีทางทะเลจากชาติต่างๆ”

“แผนการที่วางไว้ คือการทำให้บราซิเลีย ซึ่งตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของฝั่งตะวันตก กลายเป็นศูนย์กลางของที่ทำการรัฐบาล”

“แผนการสร้างกรุงใหม่ได้รับการเสนอขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1813 และในที่สุด พื้นที่ 14,400 ตารางกิโลเมตรนี้ ก็ได้กลายเป็นสถานที่ก่อสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่ที่ชื่อว่า กรุงบราซิเลีย ในช่วงปี ค.ศ.1956-1960”

“การมีนโยบายผังเมืองที่ชัดเจน ทำให้บราซิเลียกลายเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเพราะผังเมืองและอาคารทั้งหมดมีความสวยงามและทันสมัยมาก จะคล้ายๆ กับกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ของสหรัฐอเมริกา กรุงออตตาวาของแคนาดา และกรุงแคนเบอร์ราของออสเตรเลีย ถ้าดูทางอากาศจะเห็นว่ากรุงบราซิเลีย มีรูปคล้ายเครื่องบินหรือผีเสื้อ ประชากรปัจจุบันมีประมาณ 4,235,000 คน (World Population Review)”

“นับว่าเป็นเมืองศูนย์กลางทั้งทางด้านการเมือง และเศรษฐกิจที่สำคัญ”

 

“ผมเป็นคาทอลิก จบการศึกษาทางด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยคาทอลิก Rio de Janeiro”s Pontifical Catholic University และด้านประวัติศาสตร์ ที่ Universitarian Center of Bras?lia”

“เพราะมีความใฝ่ฝันที่จะเป็นนักการทูต จึงต้องสอบแข่งขันเพื่อเข้าสถาบันการทูต (Advanced Studies of the Brazilian Diplomatic Academy) ร่วมกับผู้สมัครอีก 6,000 คนแต่รับได้จำนวนน้อยมาก”

“ในที่สุดสอบผ่านได้รับการคัดเลือก ผมจึงเดินทางไปกระทรวงต่างประเทศ ในเมืองหลวงบราซิเลีย และเริ่มต้นชีวิตนักการทูตด้วยหัวใจที่พองโตอย่างมีความสุขที่สุด”