การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ฉันจะออกเดินไปบนถนนสายเปลี่ยว

[คนเดินทางคะ

เพิ่งกลับจากไปรษณีย์ ไปส่งหนังสือให้ที่รักคนหนึ่งเขาอ่าน…ขอเรียก “ที่รัก” สักหน่อยนะคะ

คนเดินทางคะ มีไหมกับใครสักคนที่เธอรู้สึกรักและผูกพันกับเขายิ่งนัก ทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้าเห็นตามาก่อน ค่ะ ฉันกำลังจะบอกว่าได้รู้สึกเช่นนั้นแล้ว และได้รู้สึกกับเธอนี่คนหนึ่งล่ะ อีกคนก็เพื่อนที่อยู่อุดร คนที่เคยเล่ามาให้เธอฟัง ว่าเขาแอบชื่นชมเธอผ่านฉันเสียมากมายนั่นล่ะ

ดีใจค่ะ ที่ได้รู้สึกเช่นนี้ ชอบ นิยม ชื่นชมเธอมาก เด็กวัยรุ่นอย่างเธอ เดินมาถึงจุดนี้ เก่งนะคะ ขณะใครหลายๆ คนที่ฉาบเปลือกของตนเองไว้ด้วยปริญญาโก้หร่าน ความนึกคิด…นิดนึง ไม่สมกับค่าที่ใครๆ เขาให้ปัญญาชนเล้ย…เอ นี่ฉันเป็นคนขี้บ่นอีกแล้วซี…]

 

ตัวหนังสืออีกหลายสิบบรรทัด ปรากฏไล่เรียงอยู่ในสายตา ฉันยังเฝ้าอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่เบื่อหน่าย และอดยิ้มไม่ได้เหมือนทุกครั้ง จากตัวหนังสือโตๆ เกือบเต็มบรรทัด ลากเส้นจากปากกาสีน้ำเงินบางๆ ดังรอยขีดบนท้องฟ้า

ไม่สิ เหมือนท้องฟ้าที่มีรอยขีดเป็นเมฆขาวๆ

…ไม่อีกละ ไม่รู้จะอธิบายเป็นภาษาว่าอย่างไรดีมากกว่า เพียงแค่รู้สึกว่า มีความสวยงามอ่อนโยนตามติดมากับจดหมาย

จดหมาย…ที่เขียนมาในกระดาษสมุดแผ่นยาวๆ ราวกับฉีกจากสมุดทำบัญชี และมีถ้อยคำดีๆ สำหรับฉัน

 

[…ฝันมานานเหลือเกินค่ะ ไม่รู้จะเป็นจริงสักครั้งหรือเปล่า ฝันอยากโบยบินสู่อ้อมอกภูเขาลำเนาไพร นั่งนับดาว คุยเรื่องราวชีวิตกับใครอีกสักคน

หากวันหนึ่ง ฉันขึ้นไปหา เธอเป็นไกด์พาเที่ยวได้ไหมคะ…

หนาวนี้ว่าจะขึ้นภูกระดึง แต่ไม่แน่อาจเลยไปหาเธอด้วยก็ได้ หากเป็นไปได้นะคะ ตอนนี้ก็กำลังเก็บทุนรอนสำหรับโบยบินอยู่

คนเดินทางคะ…เพราะเราต่างก็เป็นคนที่ต้องการความรักมากลิมิตกว่าคนธรรมดาหรือเปล่าคะ ทุกวันนี้ฉันยอมรับกับเธออย่างหน้าไม่อายเลย ว่าฉันเป็นคนต้องการความรักมาก มันเป็นโรคโบรคเค่นโฮมน่ะค่ะ แต่ฉันก็หลอกตัวเองตลอดเวลาว่าฉันไม่ต้องการหรอก ฉันมีอยู่แล้ว…ทั้งที่จริงมันคือความเปล่าว่าง

คือความรู้สึกที่สัมผัสไม่ได้ อยู่ไกลเหลือเกิน…ท่าทางท่าทีที่แสดงออกมา เพื่อปกปิดความต้องการตนเอง ก็คือความกร้าว หยิ่ง คล้ายไม่แคร์ใคร ทั้งที่ความรู้สึกในๆ รอนรานจะแย่

เหมือนคนบ้านะคะ คนเราทุกวันนี้]

 

ในจดหมายฉบับก่อนๆ หน้า ฉันเองก็เขียนไปหาเพียงบัว บอกกับเธอว่า ฉันก็ดีใจเหลือเกินที่โลกนี้มีเธอปรากฏตัวขึ้นมา

เพื่อนที่ไม่เคยเห็นหน้า เพื่อนผู้ไม่เคยรู้จัก ดั่งการมาถึงของแสงตะวัน

มีอะไรบางอย่างที่ฉันยังไม่อาจพรรณามันได้ ใช่ว่าจะไม่เคยเสียใจ ไม่เคยผิดหวังกับพวกมิตรภาพฉาบหน้า หรือใช่จะไม่เคยเจอเรื่องราวโหดร้าย ซึ่งมันควรจะมากพอ ทำให้ฉันไม่อาจจะไว้ใจใครได้อีกแล้วในชีวิตนี้

หรือลึกๆ ในอกนี้ ฉันเองก็มีบาดแผลมากมาย ใช่จะลบเลือนได้สิ้น หลายครั้งก็ยังต้องตื่นกลางดึก ด้วยสำนึกอยู่หวาดๆ ไหวๆ ในสิ่งที่เคยพบ

กลิ่นเส้นผมไหม้ไฟ เสียงหวีดร้องร่ำไห้ หยดเหลวสีแดงที่หยาดกระเซ็นครั้งแล้วครั้งเล่า รอยเลือดที่ผ่านม่านตา…

ทว่า ตัวหนังสือจากคนที่รู้จักกันเพียงจากจดหมายและบทกลอนที่เขียนส่งไปลงหนังสือ…เพียงเท่านั้น กลับทำให้ฉันเหมือนคนที่ค่อยๆ งัวเงียตื่นขึ้นมาใหม่

ยังมีหมอกหนาครอบคลุมไปทั่ว แต่ก็อย่างช้าๆ ที่เริ่มเห็นแสงพร่างพร่าฉายส่องมาไกลๆ

 

[…”เราชอบข้อเขียนของเพียงบัว” พูดให้ปลื้มหรือเปล่าคะนี่ โอเค จะปลื้มค่ะ เอาเป็นว่าเราต่างชอบชื่นชม นิยมในผลงานของกันและกันดีกว่านะคะ ชมกันไปชมกันมา พอดีหมดหน้ากระดาษ

นามปากกาของฉัน “ดาวศรัทธา” ก็มาจากเพลงแสงดาวแห่งศรัทธา ของจิตร ภูมิศักดิ์ ไงคะ ศรัทธาท่านมาก มีรูปท่านแปะไว้ฝาห้อง หน้าโต๊ะเขียนหนังสือรูปหนึ่ง เวลาล้า…ปรายสายตามองไป เอ๊ะ ยังไง กำลังใจมากจัง พิลึกคนมั้ย…

แล้วเธอรู้จักแสงดาว ศรัทธามั่น ไหมคะ คนเชียงใหม่เหมือนกันนี่ นี่ก็ชื่นชมค่ะ งานของคุณแสงดาวจะออกมาในลักษณะกลางๆ ระหว่างเพื่อชีวิต เพื่อสังคม กับความเป็นไปของยุคสมัย ที่ส่วนมากจะหวานไหว

สำหรับกุหลาบแห้งฯ เขาก็อย่างนั้นแหละค่ะ ฉันรู้จักเขาในแง่ของคนที่เปราะบาง ไม่มั่นคงนัก แต่เขาก็ตั้งใจดีนะในเรื่องการทำกลุ่มนักเขียนกวี ฉันก็เป็นหนึ่งในคนที่เข้าร่วมกับเขา เธอคงได้อ่านบ้างแล้วใช่มั้ย ในคอลัมน์ที่พี่ทยานิจเขียนไว้

คนเดินทาง…ฉันสนับสนุนเธอนะคะ ถ้าเธอคิดจะตั้งกลุ่มกวีบ้าง หากเธอคิดจะทำจุลสารอย่างที่เล่ามาจริงๆ ฉันก็จะส่งเรื่องมาให้เธอด้วย เธอจะต้องทำได้ดีเช่นกัน ฉันเชื่อว่าเธอจะต้องทำสำเร็จ จะต้องมีคนอยากเป็นสมาชิกกลุ่มของเธอแน่ๆ เพราะตอนนี้ บทกวีของเธอแต่ละชิ้นที่ได้ลงในวัยหวาน ก็มีแต่คนพูดถึงกัน เพื่อนของฉันที่คุยๆ กันยังบอกว่า เธอมีความคิดน่าสนใจมากจริงๆ…]

คําว่า น้ำทิพย์ชโลมใจ เป็นอย่างนี้เองใช่ไหม เหมือนได้พบสัมผัสอันฉ่ำเย็นระรื่น คลอเคลียมาตลอดเวลาเมื่อกวาดตาไล่ไป

เพียงบัวให้กำลังใจฉันมากเหลือเกิน ตอบรับในทุกสิ่งที่เล่าไป จากความเคลื่อนไหวในหน้านิตยสารที่พวกเราอ่านกัน และเพียงบัวนั่นเองคอยส่งมาให้ฉัน ทำให้รู้ว่าเธอและเพื่อนๆ อีกหลายคนกำลังรวมตัวกันตั้งกลุ่มกวี มีชื่อน่ารักว่า กลุ่มด้ายสีขาว

ฉันอดมีความคิดขึ้นมาบ้างไม่ได้ว่า แล้วถ้าฉันจะลองตั้งกลุ่มของตัวเองบ้างล่ะ เพื่อจะได้สื่อสารกับใครๆ ได้มากขึ้น มีพื้นที่เผยแพร่ความคิดความเห็นต่างๆ ออกไป

ฉันจะทำได้ไหม…เพียงบัวบอกว่าได้ ฉันจะทำได้จริงไหม…

ถ้าในภาคส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน นอกเหนือจากการเป็นลูกจ้างกินเงินรายวันในท้องทุ่ง หากฉันมีโอกาสได้สัมพันธ์กับผู้คนที่รักการอ่านการเขียนเหมือนกัน

ถ้าฉัน…ได้ทำงานร่วมกับเพียงบัว แม้จะเพียงในหน้ากระดาษที่เราได้พบกัน มันคงดีมากๆ

อย่างน้อย ฉันจะได้หลบหนีออกไปจากโลกแล้งไร้ที่กำลังอยู่นี้

 

ดึกดื่นในคืนที่ท้องฟ้ากระจ่างแสงดาว จึงอีกครั้งที่ฉันนั่งคัดลอกบทกลอนของตัวเองลงกระดาษจดหมาย กลั่นความรู้สึกลงไป เขียนไปบอกเพียงบัวว่า

[คนดี, เพียงบัว มิตรของฉัน

เราไม่รู้ว่าจะขอบคุณเธอยังไง ทุกถ้อยคำที่เธอส่งมาให้ เราอ่านมันมากกว่าสิบรอบด้วยซ้ำ ทุกถ้อยคำของเธอซึมซาบเข้าไปในอกของเรา สุดจะบอกออกมาเป็นภาษาได้

เรามีกำลังใจมากจริงๆ สิ่งที่เธอส่งให้เรา หนังสือทุกเล่ม ตัวอักษรทุกบรรทัด มันทำให้โลกของเราเปลี่ยนไปจากเดิมเหลือแสน เชื่อไหมว่าหลายวันมานี้ เรามีบทกวีจดลงในสมุดอีกเป็นสิบบท มีสี่ห้าบทที่เราได้ส่งไปวัยหวานแล้ว…

มีคนพูดถึงเราด้วยหรือ ขอบคุณที่บอกเล่านะ เราหวังว่าสักวันหนึ่งคงได้มีโอกาสพบปะใครๆ เหมือนที่พวกเธอได้ไปพบปะกัน มันดีมากเลยที่มีโอกาสได้ทำตามความใฝ่ฝัน ถึงมันจะเล็กน้อยแค่ไหนก็เถอะ เพราะนั่นคือความใฝ่ฝันของตัวเรา

แต่เราคงไม่มีโอกาสจะได้ไปพบใครในกรุงเทพฯ ดังนั้น หากเธอจะมาที่บ้านของเรา เรายินดีต้อนรับอย่างเต็มที่ ยินดีเสมอ เราสัญญา จะพาเธอไปทุกที่ที่เธออยากไป แต่เราไม่มีรถยนต์หรือรถมอเตอร์ไซค์หรอกนะ เราเพียงจะพาเธอซ้อนท้ายจักรยานได้ หรือไม่ก็เดินไปด้วยกัน เธอจะเดินไหวไหม?

พูดถึงเรื่องเดิน…เราเขียนบทกวีใหม่ได้อีกบทหนึ่ง อันที่จริงเราเขียนมันไว้ก่อนหน้านี้ แต่ก็เพิ่งมีจังหวะได้เอามันมาต่อเรียงร้อยกัน เราอาจจะไม่ได้เขียนกลอนอย่างคนอื่นเขาเท่าไหร่ อย่างที่เราเคยเล่าไปแล้ว เราเป็นคนจนมาก หลายครั้งเราไม่มีสมุดไม่มีปากกา เราจะใช้วิธีเขียนไว้ในหัวแล้วคอยจดออกมาทีหลัง…

เราส่งมาให้เธออ่านก่อนใครๆ เราไม่ได้เขียนเป็นกลอนแปดตามฉันทลักษณ์เท่าไหร่ แต่เป็นบทหนึ่งที่เรารู้สึกพอใจกับมัน เราเขียนจากความรู้สึกของเรา เท่าที่จะบรรยายได้

เราอยากจะให้เธออ่านเป็นคนแรก…เพราะเราเชื่อว่าเธอคงจะเข้าใจในความคิดเหล่านี้

เราไม่รู้จักจิตร ภูมิศักดิ์ แต่เห็นหนังสือที่เธอส่งมาแล้ว เดี๋ยวเราจะรีบอ่าน ถ้าท่านเป็นแรงบันดาลใจของเธอ คงจะเป็นคนที่ยอดเยี่ยมแน่ๆ…

บทกวีอยู่หน้าหลังนะคะ]

 

…ไม่มีที่ว่างสำหรับความเศร้า

สมองที่โง่เขลาบอกให้เดินต่อ

ยุติคำร้องขอ

อย่ารอให้ใครยื่นความปรานี

ไม่มีที่ว่างสำหรับความอ่อนแอ

แค่ไปให้พ้นที่นั่นที่นี่

ทุกเวลานาที

เดินไปอย่าได้หยุด

การแสวงหาไม่มีวันจบ

ตราบใดที่ยังต้องพบมนุษย์

และมีความคิดอีกหลายชุด

ที่เราต้องปะทะมัน

โลกคือสนามกว้างใหญ่

บางคนคงสนุกไปกับการแข่งขัน

แต่สำหรับฉัน

ต้องการแค่วันอากาศอุ่นสบาย

แค่ไม่ทารุณนักในฤดูกาล

ไม่นานเกินสำหรับช่วงเวลาร้าย

มีเวลาที่ฝ้ามัวละลาย

เห็นแดดฉายเป็นระยะ

ไม่ได้หวังอะไรจากชีวิตมาก

เพียงอย่าได้พรากจากอิสระ

เข้าใจในบางพันธะ

แต่ก็ต้องมีบางเสรี

ฉันจะออกเดินไปบนถนนสายเปลี่ยว

ดุ่มเดียวดั้นด้นบนวิถี

และขอบันทึกลงตรงนี้

เพื่อที่จะรอดูชะตาอนาคต