ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์ /GREEN BOOK

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์

GREEN BOOK

‘ล่าสุดจากลูกโลกทองคำ’

 

กำกับการแสดง Peter Farrelly

นำแสดง Viggo Mortensen Mahershala Ali Linda Cardellini

 

ประเดิมปีหมูเป็นเรื่องแรกด้วยรางวัลหนังยอดเยี่ยมรางวัลโกลเดนโกล้บ ซึ่งเข้าฉายในโรงเมืองไทยสัปดาห์สุดท้ายของปีที่แล้ว รอรับศักราชใหม่จากการประกาศรางวัลลูกโลกทองคำในสัปดาห์แรกของปี

ทั้งรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ที่ร่วมกันเขียนโดยไบรอัน เคอร์รี นิก วัลเลลองกา ซึ่งเป็นลูกชายตัวจริงของบุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจสำหรับตัวละครหลักในหนัง และปีเตอร์ ฟาร์เรลลี ซึ่งทำหน้าที่ผู้กำกับหนังด้วย

รวมทั้งรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม กับรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ได้แก่ มาเฮอร์ชาลา อาลี เจ้าของออสการ์สาขาเดียวกันในบทสมทบชายใน Moonlight เมื่อปีก่อน

อันที่จริงดูจากทีมงานแล้ว ไม่น่าจะเข้าเค้าเท่าไรนัก เพราะปีเตอร์ ฟาร์เรลลี เป็นที่รู้จักในฝีมือด้านคอเมดี้แบบโฉ่งฉ่าง อย่าง Dumb and Dumber (จิม แคร์รี่) และ There’s Something About Mary (เบน สติลเลอร์, แคเมอรอน ดิแอซ) อีกทั้งวิกโก มอร์เทนเซ็น ก็เป็นนักแสดงเชื้อสายสแกนดิเนเวีย ที่มารับบทจอมกะล่อนเชื้อสายอิตาลีในนิวยอร์ก

แต่ผลปรากฏออกมาลงตัวดีเยี่ยม ทำให้นึกว่าสำนวนที่ว่า “ดูหนังสือต้องดูจากหน้าปก” นั้นอาจใช้ไม่ได้ในที่นี้

 

อันที่จริงเรื่องราวที่สร้างจากชีวิตตัวบุคคลจริงนี้ ก็ไม่ใช่เนื้อหาแปลกใหม่สำหรับหนัง หนังเป็นแบบที่เรียกกันว่า road movie คือเรื่องราวเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง และออกจะเป็นไปตามสูตรสำเร็จที่นำตัวละครที่ไม่ถูกกันหรือไม่น่าจะเข้ากันได้ มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันชั่วระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งจะพัฒนาไปสู่มิตรภาพและมีผลเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์และชีวิตของพวกเขาไปเลย

เหตุการณ์เกิดใน ค.ศ.1962 ในช่วงที่อเมริกายังคงเป็นประเทศเหยียดผิว โดยเฉพาะในรัฐทางใต้ที่ยังคงแบ่งแยกถิ่นที่อยู่ สาธารณูปโภคและบริการสำหรับคนผิวขาวผิวดำ คนผิวดำต้องไปโรงเรียนผิวดำ กินอาหารในร้านสำหรับคนผิวดำ พักโรงแรมสำหรับคนผิวดำ แม้แต่ห้องน้ำสาธารณะก็ยังไม่สามารถใช้ร่วมกับคนผิวขาวได้

ในช่วงปี 1936-1966 มีการพิมพ์คู่มือสำหรับการเดินทางในอเมริกา ที่เรียกกันว่า “หนังสือเล่มเขียวสำหรับนักขับขี่เดินทางชาวนิโกร” ซึ่งบอกชื่อสถานที่ โรงแรมและร้านอาหารต่างๆ ที่คนผิวดำจะเข้าไปใช้บริการได้

โดยเฉพาะในรัฐภาคใต้ที่กำหนดเขตโดยเส้นแบ่งเมสัน-ดิกสันซึ่งถือเป็นพรมแดนของรัฐภาคเหนือกับรัฐภาคใต้

โทนี่ วัลเลอลองกา ฉายา “โทนี่ ลิป” หรือ “โทนี่ปากดี” เป็นนักเลงคุมไนต์คลับจอมกะล่อนและมีฝีไม้ลายมือรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างดี แต่คลับที่เขาทำงาน ปิดซ่อมแซมเป็นเวลาหลายเดือน ทำให้เขาตกงาน และต้องหารายได้เสริมระหว่างนั้น

หนึ่งในงานที่เขาได้รับเสนอ หลังจากการไปสัมภาษณ์ คือการขับรถและเป็นบอดี้การ์ดให้นักเปียโนแจ๊ซอัจฉริยะผิวดำ ซึ่งรับงานคอนเสิร์ตไว้ตามเมืองต่างๆ ในรัฐภาคใต้เป็นเวลาแปดอาทิตย์ก่อนคริสต์มาส

แต่โทนี่ก็เป็นหนึ่งในคนที่รังเกียจและแบ่งแยกผิวขาวผิวดำอยู่เหมือนกัน จะเห็นได้จากการที่เขาแอบทิ้งแก้วสองใบลงถังขยะลับหลังภรรยา เป็นแก้วสองใบที่ภรรยารินน้ำให้ช่างประปาผิวดำสองคนดื่ม และล้างสะอาดแล้ว

งานขับรถครั้งนี้ทำให้โทนี่ต้องมีเจ้านายเป็นคนผิวดำ ซึ่งเป็นความอีหลักอีเหลื่อไม่น้อย แต่ก็เป็นงานสุจริตรายได้ดี ที่จะทำให้ครอบครัวอยู่ได้อย่างสบายในระหว่างที่เขายังไม่มีงานประจำ

โดลอเรส (ลินดา คาร์เดลลินี) ผู้เป็นภรรยาขอสัญญาอย่างเดียวว่าให้สามีรีบกลับมาให้ทันฉลองคริสต์มาสกับครอบครัว

นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันน่าประทับใจครั้งนี้

 

โทนี่ได้รับมอบ “หนังสือเล่มเขียว” จากค่ายเพลงที่ ดร.ดอน เชอร์ลีย์ (มาเฮอร์ชาลา อาลี) นักเปียโนผิวดำ มอบให้โทนี่เอาไว้ใช้เป็นคู่มือการเดินทาง

ด้วยคำสั่งอย่างเดียวคือดูแลเจ้านายคนเดียวของเขาให้พ้นภัยในดินแดนที่ยังคงเหยียดผิวอย่างรุนแรง หาที่พักให้ และขับรถพาไปส่งที่สถานที่แสดงคอนเสิร์ตให้ทันเวลา

บางครั้งเจ้านายกับลูกน้องก็พักโรงแรมเดียวกันหรือกินอาหารร้านเดียวกันไม่ได้ด้วยซ้ำ แถมยังได้รับการมองด้วยสายตาแปลกๆ จากคนโดยรอบ ด้วยการที่คนผิวขาวมาทำงานให้เจ้านายผิวดำ

ความหน้าไหว้หลังหลอกที่สุดอย่างหนึ่งคือ ดอนได้รับการต้อนรับอย่างดีเยี่ยมบนเวทีแสดงด้วยฝีมือดนตรีอันหาตัวจับได้ยาก แต่เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ห้องน้ำของคนผิวขาว มีอยู่หนหนึ่งที่โทนี่ต้องขับรถพาเขากลับโรงแรมเป็นชั่วโมง เพื่อไปเข้าห้องน้ำที่โรงแรมคนผิวดำ

ห้องพักรอก่อนการแสดงของเขาคือห้องเก็บของโทรมๆ เล็กเหมือนรูหนู

และเขาไม่ได้รับอนุญาตให้กินอาหารในห้องอาหารของโรงแรม ที่เขาเป็นแขกรับเชิญไปแสดงคอนเสิร์ต

หนังนำเสนอเนื้อหาอันชวนหัวเราะกับความบ้าบอของโลกและชวนโกรธแค้นนี้อย่างพอเหมาะพอเจาะ มีความคิดแต่ไม่ใช้อารมณ์เกินไป และแสดงคอนทราสต์ของแคแร็กเตอร์ทั้งสองอย่างชวนจับใจ

และนักแสดงหลักทั้งสองคนเล่นได้ดีเยี่ยม

 

วิกโก มอร์เทนเซ็น ซึ่งหายหน้าจากจอไปพักใหญ่ กลับมาด้วยรูปร่างหนากว่าเดิมอย่างผิดตา แต่ก็เหมาะกับบทของชาวนิวยอร์กเชื้อสายอิตาลีผู้ช่างกินช่างเจรจา เพื่อเอาชนะพนันเงินห้าสิบเหรียญ โทนี่สามารถกินฮอตดอก 26 อัน ชนะคู่ต่อสู้ผู้อ้วนใหญ่ได้ และเราเห็นเขากินแบบสวาปามแทบทุกเวลา แม้ในเวลาขับรถและบนเตียงเมื่อพร้อมจะเข้านอน

แล้วยังกล่อมให้เจ้านายมารยาทงามผู้ไม่เคยกินอาหารด้วยมือเลย ลิ้มรสอาหารของคนยากระหว่างเดินทางโดยหยิบชิ้นไก่ทอดเคนตักกี้เข้าปากและเริ่มรับรู้รสชาติความเอร็ดอร่อยแบบคนจน

มาเฮอร์ชาลาเล่นบทผู้ดีผิวดำอย่างน่าประทับใจ ในท่ามกลางชื่อเสียงและเงินทองที่เขาได้รับ…เขามีห้องชุดที่ตกแต่งอย่างหรูหราอยู่ชั้นบนของโรงละครชื่อดังของมหานครนิวยอร์ก…ดร.ดอน เชอร์ลีย์ หรือที่โทนี่เรียกว่า “ด็อก” เป็นคนที่ว้าเหว่อย่างที่สุด เขาบอกว่าชีวิตครอบครัวไม่เหมาะกับคนที่ทำงานอย่างเขา ต้องหย่าจากภรรยาและไม่ได้ติดต่อพี่ชายคนเดียวมาหลายปีแล้ว

โทนี่ช่วยให้เขาพ้นจากสถานการณ์คับขันหลายหน แต่ก็มีอยู่หนหนึ่งที่เขาเป็นคนช่วยตัวเองและโทนี่จากห้องขัง ด้วยการยกหูโทรศัพท์ครั้งเดียวไปหาบุคคลสำคัญที่เราท่านรู้จักชื่อเสียงเรียงนามกันดี

เพียงเท่านั้น ตำรวจชาวใต้ที่เหยียดผิวก็ต้องปล่อยตัวทั้งสองออกจากห้องขังแบบงงงันว่า ทำไมเรื่องราวถึงได้กลับกลายไปได้แบบนี้

เนื่องจากหนึ่งในผู้เขียนบทคือลูกชายในชีวิตจริงของโทนี่ วัลเลอลองกา เอง เรื่องราวตอนนี้ก็คงเป็นเรื่องจริงละมัง

เราเคยเห็นหน้าค่าตาของโทนี่ วัลเลอลองกา ในชีวิตจริง จากบทบาทมากมายในหนังที่เขาเล่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทที่เขามักแสดงเป็นสมุนมาเฟียหรือตัวเจ้าพ่อเอง อย่างเช่น The Sopranos, Donnie Brasco, Goodfellas เป็นต้น

และ Green Book เป็นหนังที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งนะคะ