ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 พฤศจิกายน 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | ยุทธบทความ |
ผู้เขียน | ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข |
เผยแพร่ |
“เพื่อลบรอยคราบน้ำตาประชาราษฎร์ สักพันชาติจักสู่ม้วยด้วยหฤหรรษ์
แม้นชีพใหม่มีเหมือนหวังอีกครั้งครัน จักน้อมพลีชีพนั้นเพื่อมวลชน”
จิตร ภูมิศักดิ์
จากปลายปี 2517 ล่วงเข้าปี 2518 สถานการณ์การเมืองทั้งในไทยและในภูมิภาคมีความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
เช่นเดียวกันกับบรรยากาศของงานกิจกรรมนักศึกษาก็เริ่มบ่งบอกถึงทิศทางใหม่ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
คงต้องยอมรับว่ากิจกรรมมีลักษณะที่แตกต่างจากยุค “สายลมแสงแดด” อย่างชัดเจน
นิสิตนักศึกษาถูกสร้างให้เกิดความสำนึกทางสังคมการเมืองอย่างไม่เคยมีมาก่อน
กิจกรรมบันเทิงในรั้วมหาวิทยาลัยไม่เพียงแต่จะถูกตั้งคำถามเท่านั้น หากแต่ยังถูกท้าทายจนแทบจะไม่มีพื้นที่ในมหาวิทยาลัยเท่าใดนัก…
ภูมิทัศน์ทางการเมืองของมหาวิทยาลัยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็นในจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ หรือในอีกหลายมหาวิทยาลัยก็แทบจะไม่แตกต่างกัน
ค่ายใหม่-ค่ายพัฒนาบุคคล
หากจะเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจน ก็อาจจะมองผ่านงานค่ายอาสาพัฒนา ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นกิจกรรมหลักประการหนึ่งของงานอาสาพัฒนาในหมู่นิสิตนักศึกษาในหลายมหาวิทยาลัย
ค่ายนี้เป็นปัจจัยที่สำคัญที่พาลูกหลานชนชั้นกลางออกไป “เปิดหูเปิดตา” กับโลกของชนบทไทย
แต่ล่วงเข้าปี 2518 แล้ว ค่ายรูปแบบใหม่ในลักษณะของ “ค่ายพัฒนาบุคคล” ถูกสร้างขึ้นคู่ขนานไปกับค่ายแบบเก่า
ค่ายใหม่ไม่เน้นการสร้างถาวรวัตถุ เช่น อาคารเรียน หากแต่เน้นการพานิสิตนักศึกษาออกไปใช้ชีวิตร่วมกับพี่น้องชาวนาในชนบท
หรือกล่าวในอีกมุมหนึ่งก็คือ ค่ายนี้พาหนุ่มสาวจากในเมืองไปสู่การเรียนรู้ชีวิตในชนบทไทย
อาจจะต้องยอมรับว่า ค่ายเช่นนี้เปิดโอกาสให้คนหนุ่มสาวจากรั้วมหาวิทยาลัยได้สัมผัสกับ “โลกและชีวิต” ของชาวนาอย่างไม่เคยมีมาก่อน
เช่น การช่วยชาวนาดำนาและเกี่ยวข้าว เป็นต้น
อาจกล่าวได้ว่า การเรียนรู้เช่นนี้ทำลาย “โรคโรแมนติก” ของหลายๆ คนลงอย่างสิ้นเชิง
ชีวิตในชนบทของไทยไม่ได้สวยหรูแบบในนวนิยาย แต่มีความยากลำบากแฝงอยู่หลายประการ
และในอีกส่วนหนึ่งนอกจากงานค่ายแบบใหม่แล้ว ยังมีกิจกรรมพานิสิตนักศึกษาไปสัมผัสกับกรรมกรในโรงงานในบริเวณกรุงเทพฯ และย่านชานเมืองอีกด้วย
ชีวิตชาวนาที่ยากลำบาก และชีวิตกรรมกรที่ยากลำเค็ญมีส่วนต่อการสร้าง “สำนึกใหม่” ของบรรดานิสิตนักศึกษาที่เข้าร่วมกิจกรรมในลักษณะเช่นนี้อย่างมาก
อีกทั้งบทกวีของ จิตร ภูมิศักดิ์ ก็มีส่วนตอกย้ำความรู้สึกของพวกเราในขณะนั้นอย่างมากด้วย
หากย้อนกลับไปอาจจะต้องบอกว่า จุดเริ่มต้นของกิจกรรมเช่นนี้ยังไม่มีบริบทของความเป็น “ซ้าย” เท่าใดนัก
แรงกระตุ้นต่อจิตสำนึกของคนหนุ่มสาวมาจากสำนึกด้านมนุษยธรรม และความต้องการช่วยเหลือผู้ที่ด้อยกว่าในสังคมต่างหาก
สำหรับผมแล้ว ผมไม่ได้เติบโตกับกิจกรรมของค่ายชาวนา
แต่จากการเข้าไปมีส่วนในการช่วยเหลือการประท้วงของกรรมกรที่อ้อมน้อย
ทำให้ผมกลายเป็นคนที่โตมากับกิจกรรมของงานกรรมกร
ซึ่งว่าที่จริงแล้ว นิสิตนักศึกษาส่วนใหญ่ที่ทำกิจกรรมเพื่อชีวิตมักจะโตมาจากสายงานชาวนามากกว่า
ค่ายพัฒนาบุคคลมีส่วนอย่างมากต่อการสร้างบุคลากรชุดใหม่ในขบวนนิสิตนักศึกษาขณะนั้น
วิทยาลัยชีวิตที่อ้อมน้อย
การเริ่มต้น “กิจกรรมเพื่อสังคม” ของผมไม่ได้คิดถึงเรื่องความเป็นซ้ายอะไร คิดแต่ว่าจะช่วยคนที่เสียเปรียบ
ก่อน 14 ตุลาฯ พวกผมจากรัฐศาสตร์เคยไปช่วยหน่วยราชการในยุคที่น้ำตาลขาดแคลน คอยจัดคิวประชาชนเข้าแถวปั๊มมือในการใช้สิทธิ์ซื้อน้ำตาล
การเข้าไปทำงานกรรมกรที่อ้อมน้อยของผมต่างกับเมื่อครั้งที่ไปคอยจัดแถวซื้อน้ำตาลยุคนั้นอย่างมาก ชีวิตคนงานที่อ้อมน้อยเปิดโลกทัศน์ผมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน…
โลกของสังคมไทยไม่ได้สวยหรูเสียเลย ยิ่งได้เห็นชีวิตในโรงงาน ก็ยิ่งตอกย้ำถึงความไม่เท่าเทียมที่เกิดขึ้นในสังคมไทย
จนถึงวันนี้ก็ตอบได้ดีว่า ผมไปทำงานกรรมกร ไม่ได้เพราะรู้สึกว่าตนเองเป็นสังคมนิยม
หากแต่เป็นเพราะรู้สึกว่าตนเองเป็นนักมนุษยนิยมที่อยากช่วยคนที่เสียเปรียบ
ผมเรียนรู้ชีวิตกับพี่น้องคนงานที่อ้อมน้อย ช่วยเหลือในการประท้วงและการเจรจาต่อรอง
ผู้นำกรรมกรที่อ้อมน้อยชื่อ “ประสิทธิ์ ไชโย” (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) เขาเป็นคนที่มีบุคลิกภาพเป็นผู้นำมาก และเป็นคนที่พี่น้องคนงานที่อ้อมน้อยให้ความเชื่อถือในการนำอย่างมากด้วย
ผมได้เรียนรู้เรื่องหนึ่งที่สำคัญก็คือ “การเป็นผู้นำต้องเสียสละ”
คนอย่างพี่ประสิทธิ์และอีกหลายๆ คนที่เข้ามาช่วยงานที่สหภาพแรงงานนั้น ไม่มีผลประโยชน์ตอบแทนอะไรเลย นอกจากความเสี่ยงที่อาจจะถูกปลดออกจากงาน เพราะเป็นบุคคลเป้าหมายที่บรรดาเจ้าของโรงงานไม่ชอบและอาจใช้กำลังจัดการได้
การประท้วงของคนงานมีความอันตรายอยู่ในตัวเองเสมอ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ พวกเขาอาจจะถูกปลดออกจากงานได้ง่ายๆ
และยิ่งเมื่อถึงเวลาดึกแล้ว การรักษาความปลอดภัยของการประท้วงเป็นเรื่องที่สำคัญ เนื่องจากอาจถูกก่อกวนจนถึงระดับของการใช้อาวุธจากฝ่ายโรงงานเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ
พวกเขาดูแลผมเป็นอย่างดีเสมือน “น้องชายคนเล็ก” ในหมู่คนงานที่นั่น
เพราะในขณะนั้นผมเป็นเพียงนิสิตปี 2 เท่านั้นเอง และบางครั้งก็เผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่เคยพบมาก่อน
คนงานที่ประท้วงถูกยิง ผมเป็นคนหนึ่งที่ต้องพาคนเหล่านี้ไปโรงพยาบาล เพราะพี่เขาเห็นว่าผมเป็นนิสิตและน่าที่จะพอพูดคุยกับหมอที่โรงพยาบาลได้
ผมเคยต้องประคองพี่ๆ คนงานที่ถูกยิงอยู่ 2-3 ครั้ง…
เห็นรูกระสุนผ่านทะลุผิวหนังคน เห็นรอยเลือดจริงๆ ไม่ใช่คราบเลือดและรอยกระสุนในภาพยนตร์
อ้อมน้อยกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมในขณะนั้น
และหนึ่งในงานที่ภูมิใจก็คือ การพาพี่น้องกรรมกรจากอ้อมน้อยเดินเท้าเข้าร่วมงานวันกรรมกรที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2518
เราเดินกันมาเป็นขบวนขนาดใหญ่เพื่อร่วมฉลอง “วันเมย์เดย์” อันเป็นสัญลักษณ์ใหญ่ของการต่อสู้ของพี่น้องกรรมกรทั่วโลก
พี่น้องกรรมกรเป็นจำนวนมากเข้าร่วมในการเดินขบวนครั้งนี้
ผมช่วยงานอยู่กับสหภาพแรงงานที่อ้อมน้อยจนเป็นนิสิตปี 3 ก็มีข้อเสนอให้กลับมาช่วยงานที่ส่วนกลาง
ซึ่งหมายถึงผมจะต้องค่อยๆ ถอยออกจากงานกรรมกร และกลับเข้ามาช่วยงานเคลื่อนไหวของศูนย์นิสิตฯ ที่กรุงเทพฯ
แม้จะรู้สึกสองจิตสองใจแต่ก็จำเป็นต้องขยับออก เพราะรู้ว่าถึงเวลาที่จะต้องกลับ
ประกอบกับความตึงเครียดในพื้นที่ก็เริ่มมีมากขึ้น และทั้งมีความหวาดระแวงของเจ้าหน้าที่และเจ้าของโรงงานที่มีต่อนักศึกษาที่เข้ามาช่วยงานการเคลื่อนไหวของสหภาพ
ซึ่งอ้อมน้อยในขณะนั้นถือได้ว่าเป็นจุดหนึ่งที่การเคลื่อนไหวของกรรมกรมีความเข้มแข็งอย่างมาก
ชีวิตผมกับงานกรรมกรมาถึงจุดที่ต้องยุติลง
ถ้าจะถามว่าการทำงานกรรมกรเป็นเพราะแรงขับเคลื่อนของอุดมการณ์สังคมนิยมหรือไม่
ต้องตอบว่าพวกเราที่ทำงานเหล่านี้แทบไม่ได้คิดถึงความเป็นฝ่ายซ้าย
และใช่ว่าจะต้องแบกเอาหนังสือลัทธิมาร์กซ์ไปอ่านในสหภาพแรงงานแต่อย่างใด
ถ้าจะย้อนกลับไปก็คงเป็นความรู้สึกอยากช่วยเหลือผู้เสียเปรียบในสังคมมากกว่า
ผมมองย้อนกลับไปแล้วไม่ได้รู้สึกเป็นฝ่ายซ้ายมากเท่าใดนัก แต่มีความรู้สึกว่าในความเป็นนิสิตนั้น มีหน้าที่ที่จะต้องช่วยเหลือ “ผู้ด้อยกว่า” ในสังคม
แต่เผอิญการเข้าไปทำกิจกรรมเช่นนี้เป็นช่วงเวลาของการขยายตัวของกระแสฝ่ายซ้ายในหมู่ปัญญาชนไทย
กิจกรรมเช่นนี้จึงถูกจับตามองจากเจ้าหน้าที่ของรัฐในความเป็นซ้ายไปโดยปริยาย
และขณะเดียวกันการเข้าไปทำงานเช่นนี้ก็ใช่ว่าพวกเราจะสามารถ “จัดตั้ง” กรรมกรได้อย่างที่ทฤษฎีของเลนินกล่าวไว้แต่อย่างใด
โอกาสที่นักศึกษาจะสามารถจัดตั้งกรรมกรได้นั้นยังเป็นเรื่องที่ห่างไกลความเป็นจริงพอสมควร
หากแต่ความสัมพันธ์ที่เกิดอยู่ในระดับเบื้องต้นเพียง “ปรับทุกข์-ผูกมิตร” มากกว่า
แล้วต่อมาก็ถึงเวลาที่จะต้องลาจากอ้อมน้อย ชีวิตใน “วิทยาลัยอ้อมน้อย” ช่วยบ่มเพาะชีวิตผมในอีกช่วงหนึ่ง ชีวิตผมกับพี่น้องคนงานที่อ้อมน้อยในช่วงปี 2517-2518
เป็นการบ่มเพาะที่สำคัญและยังเป็นวิชาที่ไม่มีสอนในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
จนถึงวันนี้นั่งรถผ่านอ้อมน้อยครั้งใด ก็อดหวนรำลึกถึงชีวิตในครั้งนั้นไม่ได้…
ผมยังคิดถึงอ้อมน้อย และอ้อมน้อยก็ยังอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ
วิกฤตการณ์เรือมายาเกวซ
แม้ขณะนั้นผมจะยังไม่ทันถอนตัวออกจากงานที่อ้อมน้อย แต่ก็เริ่มได้มีโอกาสสัมผัสกับการเคลื่อนไหวอีกชุดหนึ่งที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 12 พฤษภาคม 2518 เรือสินค้าอเมริกันชื่อ “มายาเกวซ” (Mayaguez) พร้อมลูกเรือ 39 คนถูกเรือยามฝั่งของกัมพูชาเข้าจับกุม ด้วยข้อกล่าวหาว่าเรือดังกล่าวได้ล่วงละเมิดต่ออธิปไตยทางทะเลของกัมพูชา
ประธานาธิบดี เจอรัลด์ ฟอร์ด ของสหรัฐ ได้กล่าวหาการยึดเรือว่าเป็น “การกระทำอันเป็นโจรสลัด” และประกาศกร้าวถึงการช่วยเหลือลูกเรือชาวอเมริกัน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลายเป็นวิกฤตการณ์ และถูกมองว่าเป็นบททดสอบอย่างสำคัญต่อสถานะของสหรัฐในการเมืองโลก
เพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียง 1 เดือนหลังจากการถอนตัวของสหรัฐออกจากเวียดนามใต้
ซึ่งก็กลายเป็นแรงกดดันให้ทำเนียบขาวต้องแสดงถึง “อำนาจ” ในเวทีระหว่างประเทศ
ดังนั้น ในวันที่ 14 พฤษภาคม ทำเนียบขาวจึงตัดสินใจเปิดปฏิบัติการเพื่อช่วยเหลือตัวประกัน โดยอาศัยฐานทัพสหรัฐที่อู่ตะเภาเป็นจุดหลักของการส่งกำลังออกปฏิบัติการ
รัฐบาลพลเรือนของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ในขณะนั้นไม่เห็นด้วยที่ไทยจะอนุญาตให้สหรัฐใช้ฐานทัพอู่ตะเภาเป็นจุดหลักของการส่งกำลังชิงตัวประกันลูกเรือเรือมายาเกวซ
แต่สหรัฐก็หันไปขออนุญาตฝ่ายทหารแทน
ผลที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดการประท้วงบริเวณหน้าสถานทูตอเมริกัน และการประท้วงขยายตัวมากขึ้นเมื่อรัฐบาลไทยในขณะนั้นได้แสดงความเห็นในทางเดียวกับฝ่ายนักศึกษา
ดังที่หนังสือพิมพ์สยามรัฐฉบับวันที่ 16 พฤษภาคม 2518 ได้กล่าวว่า
“ไม่มีครั้งใดในการเมืองไทยที่คนไทยทั้งชาติจะแสดงปฏิกิริยาตอบโต้รัฐบาลสหรัฐเท่าครั้งนี้”
และขณะเดียวกัน หนังสือพิมพ์ทุกฉบับก็เรียกร้องให้รัฐบาลไทยทบทวนความสัมพันธ์กับสหรัฐ
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นการประท้วงอเมริกันครั้งใหญ่หลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และขณะเดียวกันก็ส่งสัญญาณต่อเนื่องอีกชุดถึงการเรียกร้องที่จะให้สหรัฐถอนฐานทัพออกจากไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย
การต่อต้านกรณีมายาเกวซอาจถูกระดมจากทั้งกระแสชาตินิยมและกระแสสังคมนิยมผสมผสานคู่ขนานกันไป
ดังจะเห็นได้ชัดว่า การชุมนุมต่อต้านครั้งนี้ไม่เพียงจะถูกปลุกบนเงื่อนไขของลัทธิชาตินิยมในการปกป้องเอกราชและอธิปไตยของชาติเท่านั้น
หากแต่ยังมีการโฆษณาโจมตีในบริบทของฝ่ายซ้ายที่สหรัฐถือว่าเป็น “จักรวรรดินิยม” ที่จะต้องถูกโค่นล้ม
แม้ในที่สุด รัฐบาลกรุงเทพฯ และวอชิงตันจะสามารถประนีประนอมกันได้
แต่ก็อาจกล่าวได้ว่ากรณีมายาเกวซเป็น “การจุดกระแส” ต่อต้านอเมริกันอย่างมีนัยสำคัญที่จะเกิดขึ้นในสังคมไทยในเวลาต่อมา
อธิปไตยไทยกับฐานทัพอเมริกัน
ผมกลับเข้ากรุงเทพฯ แต่ก็ยังไม่ได้มีบทบาทมากนักในกรณีนี้ นอกจากเข้าร่วมในฐานะมวลชนคนหนึ่ง และก็ได้พบกับเพื่อนและพี่ๆ หลายคนในการชุมนุมที่เกิดขึ้น
ผลจากการชุมนุมครั้งนี้ทำให้ผมเริ่มหันมากลับมาสนใจเรื่องความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างไทยกับสหรัฐอีกครั้ง
โดยมีประเด็นเรื่องของฐานทัพสหรัฐในไทยเป็นแกนกลางของเรื่อง
คำถามสำคัญในขณะนั้นก็คือ นโยบายต่างประเทศของไทยต่อสถานการณ์สงครามในเวียดนามควรจะเป็นเช่นไร
และไทยควรจะอนุญาตให้สหรัฐใช้ฐานทัพในประเทศไทยต่ออีกหรือไม่
และหากสหรัฐต้องถอนตัวออกจากเวียดนามแล้ว ไทยจะทำอย่างไร?
ความสนใจประเด็นเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับผมแต่อย่างใด เพราะก่อน 14 ตุลาคม 2516 ผมเองก็สนใจหัวข้อนี้โดยมีแรงกระตุ้นจากบทความในหนังสือสังคมศาสตร์ปริทัศน์
และหนึ่งในบทความที่ผมอ่านขณะนั้นเขียนโดยนักคิดคนสำคัญในประเด็นด้านต่างประเทศ คือ “พันศักดิ์ วิญญรัตน์”
แต่เมื่อเกิด 14 ตุลาฯ และหลังจากนั้นได้ไปทำงานกรรมกรที่อ้อมน้อยแล้ว ผมก็เก็บเอาเรื่อง “ฐานทัพอเมริกัน” เข้ากระเป๋าหนังสือไปโดยปริยายและไม่ได้ติดตามเรื่องนี้อีกเลย
การเคลื่อนไหวเรื่องมายาเกวซนี้สิ้นสุดลงบนถนน แต่ประเด็นปัญหาไทย-สหรัฐ หาได้ยุติลงด้วยแต่อย่างใด
ความท้าทายของปัญหาชุดนี้ได้กลายเป็นดัง “มนต์ขลัง” เรียกร้องให้ผมต้องกลับมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยต่อมาอีกยาวนานทั้งในสถานะของความเป็นนักเคลื่อนไหวและเป็นอาจารย์ในเวลาต่อมา
และไม่อาจปฏิเสธได้ว่าปัญหาความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐ เป็นหนึ่งในโจทย์ใหญ่ของการเมืองไทย!