อนุสรณ์ ติปยานนท์ : วัยรักวัยเรียน

รัก/หลง/เมือง

เขาย้ายกลับสู่เมืองหลวงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

แรกเริ่มมีความไม่คุ้นเคยบางประการเกิดขึ้น ถนนที่เขาเดินเล่นในวัยเด็กถูกปิดเป็นอาคารสูงระฟ้า

ตรอกที่เขาแอบหลบไปหาเพื่อนกลายเป็นสถานีรถไฟใต้ดิน

สนามกีฬาชั่วคราวที่เขาเคยออกกำลังกลายเป็นห้างสโตร์ขนาดย่อม

ทั้งหมดนั้นเป็นสัญญาณที่ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่ที่เดิมในดินแดนแถบนั้นคือบ้านของเขา

บ้านที่เรียกเขาให้กลับคืนมา

 

สามสิบปีที่เขาห่างหายไปจากเมืองหลวง เขากลับมาบ้านสองสามครั้ง และเนื่องจากแต่ละครั้งเขารู้สึกเป็นดังคนแปลกหน้า

เขาจึงไม่มีความปรารถนาใดๆ ที่จะรู้จักมัน

ลุงและป้าที่ไม่มีลูกขอเขาไปเป็นบุตรบุญธรรม ที่พำนักของทั้งคู่อยู่ในอำเภอห่างไกลทางจังหวัดภาคเหนือ

เขาจำได้ว่าเก็บข้าวของในวันนั้นด้วยน้ำตา

เขาพยายามบอกลาเพื่อนทุกคน พร่ำบอกให้พวกเขาไปส่งที่สถานีรถไฟแม้จะรู้ว่าคำร้องขอนั้นไม่อาจเป็นจริง สำหรับเด็กอายุเจ็ดขวบ ไม่มีใครยอมปล่อยให้เดินทางไปยังสถานีรถไฟโดยลำพัง

ดังนั้น เมื่อรถไฟตู้นอนเคลื่อนออกจากสถานีหัวลำโพง เขาจึงไม่พบใครที่รู้จักมักคุ้นยืนโบกมือให้เขาที่ชานชาลาเลย

สิบกว่าปีนับจากนั้น เขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านอันเงียบสงบ

อ่านจดหมายที่พ่อและแม่ส่งมาถึงในบางครั้ง ภาษาที่ไม่คุ้นเคยไม่ใช่เรื่องยาก สำหรับเด็กแล้วการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ดูจะเป็นของท้าทายมากกว่าความยากลำบาก

“เอาไปตั้งแต่ตอนนี้ล่ะดีแล้ว จะได้เริ่มเรียนชั้นประถมที่นั่นเลย” เขายังจำบทสนทนาที่ป้าพูดคุยกับแม่ของเขาได้หลังจากแม่คลอดน้องชายของเขามาได้ไม่นาน

แรกเริ่มเขาโกรธเคืองพ่อและแม่ที่ทำกับเขาแบบนั้น

เขาฉีกจดหมายแทบทุกฉบับที่ป้าซึ่งกลายมาเป็นแม่บุญธรรมยื่นให้ลงถังขยะ ก่อนจะแอบกลับไปเก็บมันมาต่อให้เป็นกระดาษชิ้นสมบูรณ์ในยามค่ำ

เขาทำเช่นนั้นอยู่หลายครั้งก่อนที่ความรู้สึกให้อภัยจะบังเกิดขึ้น

หลายปีผ่าน พ่อและแม่ของเขาเดินทางมาเยี่ยม ทั้งหมดกลายเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน ก่อนที่เวลาจะปรับความเข้าใจให้แก่ทุกฝ่าย

เขาคิดเช่นนั้นกับเมืองที่เขาอาศัยอยู่ยามนี้ด้วย ความแปลกหน้าต้องใช้เวลาเพื่อปรับความเข้าใจ

 

สิบกว่าปีในโรงเรียน สี่ปีในมหาวิทยาลัย เขาลงมาหาพ่อและแม่นับครั้งได้

ครั้งสุดท้ายที่เขาได้พบพ่อกับแม่คือในงานรับปริญญา

หลังจากนั้นเขารับทุนการศึกษา โบกบินไปถิ่นไกล ข่าวคราวการจากไปของพ่อและแม่ด้วยอุบัติเหตุไปถึงเขาขณะที่เขากำลังลังเลว่าจะจัดการกับถิ่นฐานของตนเองอย่างไร เขากลับมาจัดงานสำคัญร่วมกับน้องชาย ในตอนนั้นเขาจากบ้านเกิดไปร่วมยี่สิบปี ทุกอย่างหลงเหลือเพียงความทรงจำสีจาง

แต่เมื่อน้องชายขอร้องให้เขากลับคืนบ้านเกิด เขาลังเล

“ถ้าพี่ไม่กลับมา ก็คงต้องขาย ผมจะย้ายไปอยู่กับครอบครัวของคนรักที่ต่างประเทศ ผมอยู่บ้านนี้มานานแล้ว และคิดว่าเพียงพอ ถ้าพี่คิดว่าเพียงพอด้วยเช่นกัน เราก็ขาย รอบข้างมีแต่อาคารใหม่ๆ การเก็บบ้านสองชั้นกึ่งตึกกึ่งไม้ไว้ต้องมีคนดูแล” น้องชายยื่นคำขาด

เขานอนขบคิดอยู่หนึ่งคืน แน่นอนเขาไม่มีความผูกพันกับบ้านหลังนี้แล้ว

แต่เพราะเหตุใดไม่ทราบได้ เช้าวันรุ่งขึ้น เขาตอบน้องชายอย่างมั่นใจ

“พี่จะกลับมาอยู่ที่นี่ เก็บบ้านไว้ก็แล้วกัน”

 

เขากลับถึงบ้านแทบจะวันรุ่งขึ้นหลังจากสำเร็จการศึกษา โดยสารเที่ยวบินอย่างไม่หยุดพัก ข้าวของทั้งหมดที่ไม่จำเป็นเขาทิ้งไว้ที่ต่างแดน เขาต้องการกลับสู่บ้านในสภาพที่หมดจดราวกับเกิดใหม่ มีสิ่งใดเหลือบ้างในบ้านหลังนี้ เขาจะหยิบจับ ใช้งานมัน เขาจะต้องสร้างความคุ้นเคยกับมันให้จงได้

วันแรกที่ย่างเท้าเข้าบ้าน เขาคิดถึงพรสูงสุดที่คนชอบพูดกันเวลาขึ้นบ้านใหม่ แต่เขานึกถึงพรนั้นไม่ออก “รับฉันไว้เถิด” เขานึกในใจ คำสั้นๆ เพียงเท่านี้

ก่อนที่เขาจะก้าวผ่านรั้วบ้าน ไขประตู เปิดบานหน้าต่างทุกบานให้ลมถ่ายเท กลิ่นอายของความเก่าแก่ ของผู้ที่จากไปยังคงอยู่ เขาเดินเข้าไปในห้องทีละห้อง จ้องมองไรฝุ่นที่สะพือพัดในแสงแดด

หลายสิ่งเหลือเกินที่ต้องทำ หลายสิ่งเหลือเกินที่ต้องปรับปรุง

แต่สิ่งแรกที่เขาทำคือกลับไปยังห้องนอนของตนเอง เขาพบว่าแม้กระทั่งรูปลอกภาพสัตว์ประหลาดจากรายการโทรทัศน์ในวัยเด็กที่เขาติดไว้ที่ประตูก็ยังอยู่ในที่เดิม

เขาลูบคลำมัน สีของมันซีดจางแต่มันยังคงอยู่เช่นเดียวกับชีวิตของเขา

 

เช้าวันรุ่งขึ้นเขาตื่นขึ้นในเตียงเดิม หลายสิบปีผ่าน เตียงนี้ยังทำให้เขาหลับสนิทและรู้สึกอบอุ่นเหมือนเคย

เขาเปิดกระเป๋าเดินทาง หยิบเสื้อผ้าออกพลัดเปลี่ยนก่อนจะออกไปรายงานตัวยังบริษัทที่เขาสมัครงานไว้ ไม่มีปัญหา คุณสมบัติของเขาหางานได้ไม่ยากเย็น โดยเฉพาะงานในเมืองหลวงที่มีให้เลือกมากมายนับคณา

เขากลับมาบ้าน ศึกษาเส้นทางไปทำงาน ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดง่ายๆ เอาขยะทั้งหลายในบ้านออกทิ้ง ทั้งเสื้อผ้าเก่าของผู้คนที่จากไปแล้ว ทั้งอุปกรณ์เครื่องใช้ที่ปราศจากประโยชน์ เขาทำเช่นนั้นอยู่หลายวัน หมกมุ่นกับมัน ไปทำงาน กลับมาบ้าน ทำความสะอาด

จนในที่สุดทุกอย่างเริ่มเข้าสู่ที่ทาง

เขาจึงรู้สึกตนว่าเขาได้กลับมาแล้วจริงๆ เขาได้กลับคืนสู่เมืองหลวง เมืองเกิดของเขาแล้วจริงๆ

จึงเช้าวันรุ่งขึ้นนั่นเองที่เขาเริ่มต้นมองไปรอบๆ เมืองหลวงอย่างเต็มตา เขาถีบจักรยานตรงไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน ระหว่างทางเขาเห็นวัชพืชหลายชนิดที่เขาหลงลืมหรือละเลย เขาเห็นต้นหญ้า ต้นต้อยติ่ง ต้นสาบเสือ ต้นตำแยแมว

ในเนินดินข้างทาง เขาเห็นดอกตะแบก ดอกหางนกยูงจากต้นไม้ของอาคารระหว่างทาง

และเมื่อเขาลงสู่รถไฟใต้ดิน โดยสารรถไฟใต้ดินเที่ยวที่มาถึง

เขาก็เห็นเธอ

 

ในฐานะของผู้ชายคนหนึ่ง เขาย่อมสนใจในหญิงสาว และในฐานะของผู้ชายที่ไม่เคยมีครอบครัวมาก่อนเลย หญิงสาวคนหนึ่งย่อมหมายถึงคนที่อาจได้ใช้ชีวิตร่วมกัน

เขาเคยมีความรักแต่ก็ช่วงเวลาสั้นๆ

เขาเคยมีคนรักแต่ก็ช่วงเวลาสั้นๆ

หลายปีที่ผ่านมาเขาหมกมุ่นกับการเรียน พยายามจะถ่องแท้ พยายามจะลึกซึ้งกับสิ่งที่เขาเรียนรู้ เขาทำสำเร็จ เกียรตินิยมจากการศึกษาคือตัวบ่งบอก

แต่ชีวิตการเรียนของเขาจบไปแล้ว

เขารู้ดี บัดนี้ เขากำลังเริ่มต้นสู่ชีวิตจริง หลายสิ่งกำลังเปลี่ยนแปลง การงานใหม่ บ้านหลังใหม่ และใครสักคนที่จะทำให้ชีวิตของเขาแตกต่างไปจากเดิม

การมองเห็นเธอพาเขาไปสู่จุดที่เขาขบคิดเรื่องนั้น

ใครสักคนที่จะทำให้ชีวิตของเขาแตกต่างไปจากเดิม

ใบหน้าสงบเรียบเย็นของเธอสร้างความพึงใจให้เขาอย่างมาก

รูปร่างโปร่งระหงของเธอทำให้เขาไม่อาจละสายตาจากเธอได้

เสื้อผ้าที่ไม่นำสมัยและไม่ล้าสมัยหากแต่แลดูเหมาะสมกลมกลืนกับเธอทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง

กับคนรักคนเดิม เขาพบเธอในชั้นเรียน คบหากันในช่วงเวลาเรียน และเมื่อการเล่าเรียนจบลง ความสัมพันธ์ก็จบลงด้วย

ทั้งคู่อำลากัน เรียบง่าย กลับสู่ประเทศเกิดของแต่ละคน

เพียงแต่เขาไปส่งเธอที่สถานีรถไฟ เขาโบกมือลาเธอเป็นครั้งสุดท้ายที่นั่น

 

เขาโบกมือลาใครบางคนที่สถานีรถไฟ และพบใครอีกคนในรถไฟ นี่คือชีวิตในเมืองหลวงใช่หรือไม่

ในเมืองที่เขาจากมา สถานีรถไฟใต้ดินเป็นสถานที่อบอุ่น ทุกค่ำคืนเขาจะพบใครหลายคนที่นั่น หลับนอน หาที่ปลอดภัยที่นั่น

แต่ในเมืองเกิดอันร้อนอบอ้าวของเขา สถานีรถไฟไม่ใช่สถานที่อบอุ่นหากแต่เป็นสถานที่ที่เย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นเธอเป็นครั้งแรกนั้น อุณหภูมิในรถไฟเย็นจับใจแต่เขากลับอบอุ่นอย่างแปลกประหลาด

เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพังในโลกส่วนตัวนี้และหากโลกส่วนตัวนี้จะอนุญาตให้เขาพาใครบางคนมาอยู่อาศัยด้วย เขายินดีจะเลือกเธอเป็นคนแรกและคนเดียว

เย็นวันนั้น เขากลับถึงบ้าน แทนการจัดการกับบ้านเช่นเคย เขาได้แต่นั่งนิ่ง จ้องมองไปที่ถนน ท้องฟ้าและสิ่งรอบตัว เขามองเห็นทุกอย่างชัดขึ้น แม้ในเมืองที่ไม่คุ้นเคย หากเราจ้องมองมันนานเพียงพอ ความคุ้นเคยก็เกิดขึ้น

ความแปลกหน้าเกิดจากการปฏิเสธในสิ่งต่างๆ รอบตัว ความคุ้นเคยเกิดจากการยอมรับสิ่งรอบตัว เมืองไม่มีชีวิต คนมีชีวิต

แต่เมืองที่มีคนคือสิ่งมีชีวิตสูงสุด และในเมืองที่มีชีวิตเท่านั้น