เกษียร เตชะพีระ l วาทกรรมความเป็นไทย : ความเป็นไทยแบบรัฐนิยมทหาร (จบ)

เกษียร เตชะพีระ

วาทกรรมความเป็นไทย : 7) ความเป็นไทยแบบรัฐนิยมทหาร (จบ)

อ่าน วาทกรรมความเป็นไทย : ความเป็นไทยแบบรัฐนิยมทหาร (ตอนแรก)

ทว่านิยามความเป็นไทยใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปของรัฐนิยมทหาร ก็ต้องประสบชะตากรรมเดียวกับความเป็นไทยแบบอื่นๆ

คือ มิอาจยืนตระหง่านเงื้อมค้ำสังคมบังฟ้าบังดินไว้มิดได้ หากถูกเสียดสีท้าทายลองของลองดีจากคนไทยกลุ่มอื่น ในนามของความเป็นไทยแบบอื่นๆ ในเวลามิช้ามินาน

จึงในตลอดหลายปีภายใต้เงาความเป็นไทยของรัฐนิยมทหารดังกล่าว น.ม.ส. หรือพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ก็ได้ทรงใช้เวลานิพนธ์ร้อยกรองชิ้นเอกอิงพงศาวดารเรื่อง สามกรุง ซึ่งจบบริบูรณ์ลงเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2487 นั่นคือไม่ถึงสองเดือนก่อนจอมพล ป. พิบูลสงคราม ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ เพราะแพ้โหวตกฎหมายสำคัญในสภา

ในหลายร้อยบทของสามกรุง บทที่ “แปลก” ที่สุดในความหมายนอกบริบทของเรื่องที่กำลังเล่า ทว่า “ไม่แปลก” ที่สุดในบริบทการเมืองไทยยุคนั้นคือ กลอนเสภาที่ น.ม.ส. ทรงบรรยายความถึง “เจ้าพระฝาง” ไว้อย่างออกรสว่า :-

เจ้าพระฝาง

ครานี้จะกล่าวบทถึง เถรหนึ่งฐานะเจ้าพระฝาง

ไม่ใช่พระไม่ใช่เจ้าเข้าระวาง ตัวอย่างผิดแลกแปลกกฎเกณฑ์

เคยเป็นบรรพชิตจิตเลื่อมใส เด็กผู้ใหญ่ศรัทธาขรัวตาเถร

ครั้งโชคมาชตาโยนก็โอนเอน เป็นเถนทุราจารพาลเสเพล

คราวกรุงยุ่งยับอับวาศนา อยุธยาธิปตัยก็ไขว้เขว

สังฆราชเมืองสวางค์ต่างทำเล สมคเนน่าที่เป็นผีบุญ

ครองไตรยสีแดงแผลงหนักหนา สถาปนาตนเผ่นขึ้นเป็นขุน

สาวกฉกฉวยร่ำรวยทุน เจ้าประคุณพระฝางวางตำรา

จัดวงไพบูลย์ภูลโภค ใช้โฉลกอำนาจวาศนา

ฉาวๆ ป่าวประโยชน์โฆษณา จูงใจไพร่ฟ้าประชากร

อ้างเหตุบ้านเมืองเคืองเข็ญ เป็นทางวาจาอุทาหรณ์

พูดอะไรพูดได้ไม่อาวรณ์ ราษฎรโง่เง่าเหมือนเต่าปลา

ห่มจีวรสบงเหมือนทรงศีล แต่ป่ายปีนไปปราศสาสนา

ฆ่ามนุษย์รบพุ่งมุ่งจินดา อทินนาทายีไม่มีอาย

เสพย์สตรีมีรศไม่หมดรัก เยื้องยักแยบอย่างทางฉิบหาย

เป็นพระปลอมเจ้าปลอมจอมอุบาย อันผายแผ่ตนเพื่อผลพาล

โฆษณาจูงใจได้ทุกสิ่ง เหล่าหญิงยอมกายถวายท่าน

พวกถูกปล้นไม่ชอบระบอบการ แต่ทัดทานไม่ไหวจำใจยอม

ผูกขาดค้าขายถ่ายทรัพย์สูญ ไปเข้าวงไพบูลย์โดยลม่อม

ปวงราษฎร์ปราศฤทธิ์ต้องอิดออม อำนาจย่อมอยู่ในมือผู้ถือปืน

เทศน์ให้คนสมัคทางรักชาติ รักจนขาดลมหายใจอย่าใฝ่ฝืน

บ้านเมืองคับขันต้องยันยืน ชีวิตยื่นให้ชาติปราศกีดกาง

เข้าเงินเรี่ยไรไม่รู้เบื่อ ต้องเชื่อผู้นำทำต่างต่าง

ไม่ให้ทำไม่ทำอย่าอำพราง ทุกอย่างไว้ใจในผู้นำ

จะนำไปทางไหนไม่ต้องบอก แซกซอกไม่หยุดมุดให้หนำ

แม้ลำบากยากแค้นแสนระกำ ก็ต้องทำเพื่อชาติปราศจำนรรจ์

ฉันเป็นผู้นำชาติอาจนำให้ ทั้งชาติได้ประจักษ์ศักดิ์สุขสันต์

ฉันนี่แหละเป็นผู้รู้เท่าทัน เพราะเหตุว่าชาตินั้นคือฉันเอง

ท่านรักชาติแม้จะม้วยต้องช่วยชาติ ไม่บังอาจพูดโป้งทำโฉงเฉง

ฉันคือชาติชาติคือฉันหันตามเพลง จงยำเยงจอมโยธีผู้มีปืนฯ”

ด้วยถ้อยคำตัวเอนหนาที่จงใจให้ ผิดกาละทางยุทธศาสตร์ (strategic anachronisms) ทำให้ข้อความที่คัดมาจากสามกรุงข้างต้นนี้มีความกำกวมที่เป็นนัยประหวัดชัดเจนว่าเอาเข้าจริงเกี่ยวข้องกับท่านจอมพลหรือไม่? รึว่าเป็นเรื่องของ “เจ้าพระฝาง” ทั้งน้าาาานนนนจริงๆ?

จากหมัดฮุกขวา ตามมาด้วยสะวิงซ้าย…

หลายปีให้หลัง ใต้เงารัฐบาลของท่านจอมพลคนหน้าเดิม นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ สามัญชนเต็มขั้นผู้กำลังถูกจองจำด้วยข้อหา “กบฏสันติภาพ” ได้ใช้เวลาในคุก เขียน แลไปข้างหน้า ภาคปฐมวัย ทยอยส่งออกจากคุกไปพิมพ์ใน ปิยะมิตรวันอาทิตย์ ปี พ.ศ.2498 ในนวนิยายการเมืองเรื่องเอกนี้ นอกจาก จันทา โนนดิน-แดง ลูกชาวนาจนจากชนบทอีสาน และนิทัศน์ ลูกนายทุนน้อยคนชั้นกลางในเมืองแล้ว คุณกุหลาบก็แนะนำให้ผู้อ่านชาวไทยได้รู้จักตัวละครฝ่ายพระอีกตัวหนึ่งได้แก่ เซ้ง ผู้เป็นตัวแทนของความแปลกแยกทางเชื้อชาติและศาสนาสุดๆ จากความเป็นไทยแบบรัฐนิยมทหาร กล่าวคือ

-เซ้งมีเตี่ยเป็นเจ๊กช่างแก้นาฬิกายากไร้อยู่ในห้องแถวเล็กๆ

-มีแม่สัญชาติไทยเชื้อสายญวน

-นับถือพระผู้เป็นเจ้าแห่งคริสต์ศาสนา

-เซ้งเป็นเด็กเรียนเก่ง ขยัน เงียบขรึม ต้องทำงานบ้านและฝึกอาชีพหนักมากนอกเวลาเรียน

-เตี่ยของเซ้งป่วยตาย ทำให้เขาต้องลาออกจากโรงเรียนกลางคันทั้งน้ำตาเพื่อไปรับภาระหาเลี้ยงครอบครัวแทน

ใน แลไปข้างหน้า ภาคมัชฌิมวัย ซึ่งกุหลาบเขียนต่อหลังจากได้รับอิสรภาพในโอกาสกึ่งพุทธกาลแล้ว ผู้อ่านได้รู้ต่อไปว่า :-

-เซ้งกลายเป็นช่างซ่อมนาฬิกาใจซื่อฝีมือดีสืบต่อจากเตี่ย เขาใช้เวลาตอนค่ำไปเรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียนกลางคืนแห่งหนึ่ง และตัดสินใจปิดร้านซ่อมนาฬิกาออกมาทำงานหนังสือพิมพ์รายวันที่ใจรักในที่สุด

กุหลาบจบ แลไปข้างหน้า ภาคมัชฌิมวัย ของท่านด้วยเหตุการณ์ญี่ปุ่นยาตราทัพบุกเข้าแผ่นดินไทย รัฐบาลไทยแท้สุดๆ ของท่านจอมพลมิเพียงแต่ไม่ได้ต่อต้านผู้รุกรานยิบตาชนิด “เอาหมามุ่ยเป็นอาวุธและเผาบ้านเรือนให้ราบ” อย่างที่ป่าวร้องระดมราษฎรเท่านั้น หากยังเอาประเทศชาติเป็นเดิมพันหันไปจับมือเข้าร่วมเป็นพันธมิตรสงครามกับญี่ปุ่นแบบ “ทำไปคนเดียว…ประกาศไปคนเดียว… ไม่ได้ปรึกษาหารือกับราษฎรสักอย่างเดียว” ด้วย

จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแม้แต่น้อย ที่ตัวละครรักชาติคนแรกที่กุหลาบเลือกให้เป็นผู้ถูกตำรวจของรัฐบาลไทยแท้สุดๆ บุกค้นบ้านแต่เช้าตรู่ในฐานะผู้ต้องสงสัยว่าออกใบปลิวเถื่อนต่อต้านรัฐบาลและญี่ปุ่นผู้รุกราน (อิงเหตุการณ์จริงต้นปี พ.ศ.2485 ในคดีไทยอิสสระอันอื้อฉาวซึ่งคุณกุหลาบถูกจับกุมคุมขังเป็นผู้ต้องหาด้วยคนหนึ่ง) จะมิใช่ใครไหนอื่นหากคือ…

เซ้ง-ตัวละครที่ “ไม่ไทย” ที่สุดในเรื่อง-นั่นเอง!

และในสภาพที่ ฯพณฯ “ผู้นำ” แห่งชาติไทยตามลัทธิรัฐนิยมทหารชักจะเคลิบเคลิ้มไปกับคำยกยอปอปั้นจากปัญญาชนของรัฐว่าเป็น “ผู้มีบุญ” จนถึงแก่รัฐบาลของท่านริเริ่มจะฟื้นฟูบรรดาศักดิ์ขุนนางสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่เพิ่งยกเลิกไปหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้นมาใหม่ เพื่อสถาปนาตัวท่านและบริษัทบริวารเป็นสมเด็จเจ้าพญา, สมเด็จเจ้าพญาหญิง, เจ้าพญา, เจ้าพญาหญิง ฯลฯ กันอย่างมโหฬารในปี พ.ศ.2484 แต่ต้องระงับพับไปเพราะเสียงประสานต่อต้านอย่างอึงมี่ของหนังสือพิมพ์และสาธารณชนนั้น

ปัญญาชนสาธารณะของสามัญชนผู้ขวางโลก-ขวางอำนาจอย่างนายนรินทร์กลึง หรือนรินทร์ ภาษิต ก็ประกาศกบฏทางภาษาต่อวาทกรรมเทวดาจุติใหม่ดังกล่าวโดยเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงท่าน “ผู้นำ” แห่งชาติ ลงวันที่ 9 เมษายน พ.ศ.2486 ด้วยภาษาตรงไปตรงมาถึงลูกถึงคนตามธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณ ความบางตอนว่า :-

เรื่อง กรรมตามทันท่านจอมพาล เพราะการพูดไม่จริง

จาก จอมภาร นรินทร์ ภาษิต

ถึง จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี

ตามที่จั่วหัวเรื่องไว้นั้น มันก็เนื่องมาจากท่านพูดไม่จริงๆ จากถ้อยคำที่เคยพูดว่า “ให้เห็นคน! เป็นคน!! นั่นแหละคน!!!” ดังนี้ แล้วทำไมท่านจึงทำลืมคำที่พูดเสียง่ายๆ เล่า? หรือพูดเพื่อหลอกให้พวกเด็กๆ หลงเชื่อเท่านั้น ก็ถ้าไม่หลอก! ทำไมจึงไม่ตอบ จ.ม. ของฉันที่มีมาถึงท่านเร็วๆ นี้ถึง ๔ ฉะบับแล้ว

ฉะบับที่ ๑ เรื่อง “ไม่น่าจะเป็นเรื่อง” ส่งมาเมื่อวันที่ ๑๒ มีน. นี้

ฉะบับที่ ๒ เรื่อง “ที่ว่าพวกท่านๆ พร้อมกันรักชาติไทยด้วยกันนั้น มันไม่เป็นความจริงดอก!” ส่งมาเมื่อที่ ๑๕ มีน. นี้

ฉะบับที่ ๓ เรื่อง “เขาด่าพระอาจารย์ของท่าน” ส่งมาเมื่อที่ ๑๙ มีน. นี้

ฉะบับที่ ๔ เรื่อง “รวยใหญ่! ไม่มีสิ่งใดในโลกสู้ได้” ส่งมาเมื่อที่ ๑ เดือนนี้

จดหมายทั้ง ๔ ฉะบับดังกล่าวแล้ว มีผู้นำมาส่ง ได้ใบรับของผู้ที่รับไปทั้งนั้น แล้วทำไมท่านจึงไม่ตอบ! เพราะเห็นฉันมันไม่ใช่ลูกคน! ที่ออกมาจาก (ขอเติมความว่าอย่าอ่านดัง) “รูหี!” ของแม่เหมือนกับท่านฉะนั้นหรือ? หรือด้วยอะไร? และด้วยเหตุนี้จึงน่าจะกล่าวว่า “มึงมันเป็นคนจองหองพองขนประดุจไอ้พวกกิ้งก่าได้ทองโดยแท้” เพราะเหตุว่าแม้แต่ในหลวงที่ ๗ และทั้งพระราชบิดาของในหลวงที่ ๘ ดีกว่ามึงเป็นไหนๆ ท่านก็ยังเห็นกูเป็นคน! จึงได้รับสั่งตอบกู ดังส่งเรื่องมาให้มึงเห็นพร้อมนี้ ๒ ฉะบับ เล่นกรุนรินทร์ฯ หน้า ๒-๓๕ และด้วยเหตุนี้ มึงจึงไม่ใช่คนปรกติชน เพราะฉะนั้นมึงจึงไม่ต้องการธรรมดังโคลงโลกนิติบทหนึ่งมีว่า :

“เนื้อปองน้ำหญ้า บ่อ- ปองทอง

ลิงบ่อปองรัตน ปอง- ลูกไม้

หมูปองอสุจิ ของ- หอมห่อน ปองนา

คนเคลิบเคลิ้มบ้าใบ้ ห่อนรู้ปองธรรม”

ดังนี้ มึงจึงเห็นกูเป็นอะไรไป จึงเป็นการไม่สมกับที่ปากของมึงพูดว่า “ให้เห็นคน! เป็นคน!! นั่นแหละคน!!!” ดังนี้ นี่! ค่าที่มึงไม่เห็นกูเป็นคน! มึงจึงไม่ใช่คน! ไปด้วย และเมื่อมึงไม่ใช่คนแล้ว ก็จะเป็นอะไรดีเล่า? เอาละ! กูจะตั้งให้มึงเป็นรึ ไอ้ชาติหมาหัวเน่า! เพราะเขาเกลียดมึงเยอะแยะ! ทั้งบ้านและวัดที่ให้ชักธงและไม่ให้กินหมากเลยถูกด่าถูกแช่งยกใหญ่! จึงบันดาลทำให้มึงเป็นไอ้บ้า! ไปใหญ่! และนี่แหละมึงจึงได้รับผลของกรรมที่มาโดยกูด่าอย่างรุนแรงยิ่ง! แล้วเดี๋ยวนี้มึงเห็นกูเป็นหมา จึงไม่ตอบ จ.ม. ของกู ฯลฯ

…เท่าที่ว่านี้ก็ยังไม่พอกับความโกรธของมึง ก็ขอให้มึงใช้ไอ้ใครไปยิงกูเสีย จะได้รู้แล้วรู้รอดกันไป กูก็ยินดีเหมือนกันฯ จะได้ไม่ต้องอยู่ทะเลาะกับมึงและพวกของมึงที่โง่ๆ แล้วก็แกมหยิ่ง! ฉลาดแกมโกงด้วยกันแทบทั้งนั้น

อนึ่ง ถ้ามึงมีสติ, หรือมีไหวดี โดยรู้สึกตัวได้ว่าการที่กูด่าสอนมึงมาแล้วนั้นๆ และทั้งนี้ก็เพื่อให้มึงดี ชาติไทยจะได้พลอยดีไปด้วย เมื่อมึงไม่มีอาฆาตพยาบาทเกลียดโกรธกูด้วยแล้ว มึงก็ต้องทำตามกูว่า ดังมีต่อไปนี้

๑. มึงต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเดี๋ยวนี้ อย่าดื้ออยู่ตามเขาว่า…และเมื่อมึงยินดีลาออกจากที่กูว่าแล้ว ก็ควรบอกเสนอคณะรัฐมนตรีว่า ขอให้กูเป็นแทนมึงทันทีดีกว่า แล้วมึงก็ยังจะมีท่าได้เป็นคนดีต่อไป เพราะกูยังจะเลี้ยงมึง, สอนมึงไป, พอเห็นได้ว่ามึงดีแล้ว กูก็จะได้มอบให้มึงทำการแทนกูต่อไปอีก แล้วกูก็จะไม่ทิ้งมึง และช่วยมึงตลอดไป แล้วชาติไทยจะได้ดีขึ้นโดยเร็วได้ด้วย ฯลฯ

๒. เมื่อมึงไม่เชื่อกูบอกดังข้อ ๑ จริงๆ แล้ว ก็ขอให้มึงประกาศให้ประชาชนทราบทั่วกันทั้งประเทศไทยว่า “กูกับมึงใครควรจะเป็นนายกรัฐมนตรี” ขอให้ออกเสียง และถ้าทำเช่นนี้แล้ว กูขอต่อ ๒ ต่อ ๑ โดยนัยว่าถ้ามึงได้คะแนน ๑๐๐ กูต้องได้ ๒๐๐ จึงจะชนะมึง แม้หย่อนกว่า ๒๐๐ เพียง ๑ ก็นับว่าเป็นแพ้มึง แล้วมึงคงได้เป็นนายกฯ ต่อไป และหากว่ากูแพ้มึงดังนี้ด้วยแล้วไซร้ กูก็ยอมให้มึงหรือชนทั้งประเทศไทยประหารชีวิตกูตายด้วยเถิด! เป็นความสัตย์ เพราะอะไร? ก็โดยกูรู้ได้ดีๆ โดยหมดสงสัยว่า มีผู้ที่เขาเกลียดมึงนับตั้ง ๑๐๐ ละ ๖๐-๗๐ เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย ส่วนกู ๑๐๐ ทั้ง ๑๐๐ พันทั้งพัน ล้านทั้งล้าน เขาต้องเอากูให้เป็นนายกฯ แทนมึงทั้งนั้น เพราะเขานับถือกูว่าเป็นคนซื่อตรงตงฉิน! เมื่อมึงไม่เชื่อเชิญลอง! เชิญลอง!! เดี๋ยวนี้ทันที ถ้ามึงเป็นคนที่พูดจริง! แล้วก็ทำตามคำที่พูดจริง จึงจะเป็นคนดีต่อไปได้ ฯลฯ ถ้ากูพูดไม่จริง! ก็ยอมให้มึงเอากูไปยิงเสียต่างเป้า! เดี๋ยวนี้ทันที-ทีเดียวฯ…

…(ขอเติมความว่า จ.ม. ฉะบับนี้กำลังร่างไม่ทันได้ส่ง เพราะถูกจับเสียที่ ๑๔ เม.ย. นี้)

ขอแสดงความนับถือ! ในเมื่อมึงมีความจริง! รีบออก! แล้วเสนอให้กูเปนแทนมึงต่อไปฯ

(ลงนาม) จอมภาร นรินทร์ ภาษิต

ป.ล. อ้าว! เกือบลืม! พุทธภาษิตที่มีในพุทธานุวัตรบทหนึ่งว่า “คำกล่าวใดๆ ก็ดี เมื่อกล่าวโดยปรานีมีความกรุณา เสมือนบิดาที่สอนบุตร์แล้ว ก็ไม่ต้องถือเอาว่าคำนั้นเปนคำ “ผรุสวาท” (คำหยาบ) ไม่ฯ ดังนี้มีจริงๆ กูไม่โกหกเหมือนพวกมึงๆ เลย ฯลฯ”

(อ้างจาก ศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา, ชีวิต, แนวคิดและการต่อสู้ของ “นรินทร์กลึง” หรือ-นรินทร์ ภาษิต คนขวางโลก, ๒๕๓๖)

นรินทร์ถูกจับส่งเข้ากักกันที่โรงเรียนอบรมจิตใจโดยไม่ทันได้ส่งจดหมายฉบับนี้ให้ท่าน “ผู้นำ” อย่างไรก็ตาม ต่อมา จอมพล ป.อนุญาตให้นรินทร์นำจดหมายฉบับนี้มาพิมพ์เผยแพร่ได้ โดยนรินทร์ได้เซ็นเซอร์ตัวเอง ตัดถ้อยคำที่หยาบคายออกไปบ้างแล้ว