ธุรกิจพอดีคำ l เปลี่ยนตัวเอง (เพื่อชิงความได้เปรียบ)

ธุรกิจพอดีคำ “เปลี่ยนตัวเอง”

วันก่อน ผมมีโอกาสเจอเพื่อนคนหนึ่งครับ

“ชาย” วิศวกรวัยกลางคน ผู้ชอบการเดินทางและการดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ

ชายดูผอมซูบไปเล็กน้อย พร้อมกับตาดำคล้ำอย่างเห็นได้ชัด

“เฮ้ยชาย ช่วงนี้ทำอะไรอยู่หรอ”

ผมถามแกมทักทาย

ชายตอบ “อ๋อ ก็เหมือนเดิมแหละ เป็นวิศวกรไปตรวจเยี่ยมตามโรงงานไปเรื่อย”

เราคุยกันถึงช่วงเวลามหา”ลัยที่ยังไม่ต้องทำงาน

แหม มันช่างดีเหลือเกิน

ได้มีเวลาทำอะไรหลายๆ อย่างที่อยากจะทำ

โดยเฉพาะ “ไปดูหนัง”

จำได้ว่า ทุกวันศุกร์เราจะต้องมีนัดกันกับเพื่อนๆ ไปดูหนังสักเรื่องหนึ่ง

ไม่ว่าจะเป็นหนังเรื่องอะไร เราดูหมด

เป็น “กิจกรรม” ยอดฮิตของนักเรียนในยุคเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว

ไม่ดูหนัง ก็นัดกันเล่นกีฬา เตะฟุตบอล เล่นบาส ตีแบด

ใกล้สอบก็อ่านหนังสือ เข้าห้องสมุด

ชีวิตเรียบง่าย แบบวัยมหา”ลัยที่พวกเราคิดถึง

ว่าแต่ทำไม “แกตาดำคล้ำจังเลยล่ะชาย”

ถ้าจะให้พูดถึงองค์กรที่ “ปรับตัว” กับการแข่งขันที่เปลี่ยนไปอยู่เสมอ

คงจะต้องมีชื่อของบริษัท “เน็ตฟลิกซ์ (Netflix)” อยู่ในรายชื่อแน่นอน

ทุกวันนี้ผู้อ่านหลายๆ ท่านอาจจะตกเป็น “ทาส” ของเน็ตฟลิกซ์

เว็บไซต์ดูหนังแบบออนไลน์ได้ไม่จำกัด แค่จ่ายรายเดือนไม่กี่ร้อยบาท

ที่เด็ดคือ แนะนำหนังที่คิดว่าเราจะชอบให้ดูเรื่อยๆ

รู้จักเราดียิ่งกว่าเรารู้จักตัวเองเสียอีก

แต่มีใครทราบมั้ยครับว่า เน็ตฟลิกซ์ในวันนี้

ไม่มีความเหมือนเมื่อตอนเริ่มต้นแม้แต่นิดเดียว

ย้อนกลับไปเกือบ 20 ปี เมื่อปี 1997

บริษัท บล็อกบัสเตอร์ (Blockbuster) เป็นผู้ให้เช่าวิดีโอ VHS รายใหญ่ที่สุดของโลกรายหนึ่ง

ใครอยากจะดูหนังเรื่องอะไร

ก็มาเช่าได้จากบล็อกบัสเตอร์

จ่ายเป็นครั้งๆ ไป ครั้งละไม่กี่สิบบาท ยืมได้หนึ่งอาทิตย์ประมาณนี้

ธุรกิจร้านเช่าวิดีโอที่ทำกำไรมหาศาลทั่วโลก

ที่ปัจจุบันได้ปิดตัวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เมื่อปี 1997 เน็ตฟลิกซ์ถือกำเนิดขึ้นมาจาก “รีด เฮสติ้ง (Reed Hasting)”

ผู้ก่อตั้งที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล

เขาเริ่มจากการเห็นว่าช่วงนั้น “ดีวีดี” กำลังค่อยๆ เป็นที่นิยม

และข้อดีคือ “ดีวีดี” นั้นมีลักษณะเป็นแผ่นบางและเบา

ไม่เหมือนวิดีโอ VHS ที่หนาและเทอะทะ

ดีวีดีสามารถใส่ไปในซองจดหมาย และส่งไปให้ใครก็ได้ที่เราต้องการ

เน็ตฟลิกซ์จึงเริ่มต้นธุรกิจตัวเองด้วยการส่ง “ดีวีดี” ภาพยนตร์ไปให้ลูกค้าที่สั่งเข้ามา

ลูกค้าไม่จำเป็นต้องมาที่หน้าร้าน ทุกอย่างเกิดขึ้นในอินเตอร์เน็ต

และเก็บตังค์แบบ “บุฟเฟ่ต์” คือจ่ายรายเดือนไม่กี่ร้อยบาท ดูเท่าไรก็ได้

ธุรกิจได้รับการตอบรับดีมาก ทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ

และเข้าตลาดหลักทรัพย์ด้วยธุรกิจให้เช่าดีวีดีภาพยนตร์นี่แหละ

ถัดมาเมื่อ “การดูหนังออนไลน์” เริ่มมีมากขึ้น

เทคโนโลยีทำให้ประมวลผลภาพได้เร็วผ่านอินเตอร์เน็ต

ทำให้การดูหนังออนไลน์ไม่กระตุกชะงักอีกต่อไป

เครื่องเล่น “ดีวีดี” ที่เริ่มจะขายได้น้อยลง เนื่องจากคนเริ่มจะเลิกใช้

“เน็ตฟลิกซ์” จึงทำลายธุรกิจดีวีดีของตัวเอง

และสร้าง “การดูหนังออนไลน์” ขึ้นมาใหม่ให้กับลูกค้า

การดูหนังออนไลน์ผ่าน “เน็ตฟลิกซ์” นั้นถือว่าประสบความสำเร็จมาก

ลูกค้าเข้ามาเลือกหนังดูได้ตามใจชอบ

เน็ตฟลิกซ์ก็เก็บข้อมูลไว้ทั้งหมด

คนนี้ชอบดูหนังแนวนี้ และทำการ “แนะนำ” ให้เสร็จสรรพเรียบร้อย

ดูเหมือนจะเป็นธุรกิจที่เติบโตได้อย่างยั่งยืน

และในขณะเดียวกันสร้าง “ความหมั่นไส้” ให้กับวงการภาพยนตร์

จากที่เคยให้ “ลิขสิทธ์” หนังมาขึ้นให้คนดูบน “เน็ตฟลิกซ์”

บริษัทหนังเห็นเป็นโอกาสทำเงินได้ดี

ก็เริ่มที่จะ “ขึ้นราคา” ค่าลิขสิทธ์ จนกำไรเน็ตฟลิกซ์หดหาย

จนทำให้ “รีด เฮสติ้ง” เข้าใจถ่องแท้ว่า

ถ้าเขาอยากจะทำธุรกิจดูหนังออนไลน์นี้ให้ “สำเร็จ” จริงๆ

เขาอาจจะต้องทำ “ภาพยนตร์” เสียเอง

และนั่นคือการประกาศสงครามกับ “ฮอลลีวู้ด”

เขาเริ่มจ้าง “มือดี” จากวงการภาพยนตร์มาทีละคนสองคน

แล้วลองสร้างหนังขึ้นมา โดยใช้ “ข้อมูล” การดูหนังของคน ว่าคนชอบดูหนังแบบไหน

และก็เกิดสิ่งที่เรียกว่า “เน็ตฟลิกซ์ ออริจินอล ซีรี่ส์ (Netflix Original Series)” ขึ้นมา

ภาพยนตร์ที่ทำโดยเน็ตฟลิกซ์ ดูได้แค่ที่เดียวคือบนเน็ตฟลิกซ์

เมื่อปล่อยตัวออกมา ก็ทำให้คนดูหนังติดกันงอมแงมทั่วบ้านทั่วเมือง

ยิ่งมีคนดูมาก ก็ยิ่งมีงบฯ ทำหนังที่มีคุณภาพมากขึ้น ยิ่งแบ่งเงินได้มากขึ้น

ก็สามารถเริ่มจ้างคนเก่งๆ และดารามาร่วมงานด้วยมากขึ้น

รู้ตัวอีกที คนดูก็ดูหนังที่ผลิตโดยเน็ตฟลิกซ์ผ่านทางเน็ตฟลิกซ์เป็นที่เรียบร้อย

เน็ตฟลิกซ์เป็นตัวอย่างที่ดีอันหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพื่อชิงความได้เปรียบในตลาด

ใครจะเชื่อว่า “ฮอลลีวู้ด” ที่ว่าแน่

สุดท้ายก็ต้องยอมให้กับ “เน็ตฟลิกซ์”

ที่มีผู้ชมหลายร้อยล้านคนทั่วโลก และสามารถจะทำภาพยนตร์ของตัวเองได้ด้วย

การเปลี่ยนแปลงตัวเองของบริษัทหนึ่งๆ นั้น สามารถทำได้

ถ้า “ผู้นำ” กล้าตัดสินใจเปลี่ยนแปลง

“รีด เฮสติ้ง” เคยถูกนักข่าวถามว่า

“ตอนนี้คู่แข่งคุณคือใครหรือ”

รีดตอบว่า “เวลานอน”

“เราอยากให้หนังของเราสนุก จนง่วงก็ยังอยากดูต่อ”

นี่แหละวิสัยทัศน์ที่แอบน่ากลัวนิดนึง ใช่มั้ย

“ตาดำคล้ำของเพื่อนชายเกิดจากอะไร

คงไม่ต้องสงสัยกัน”