เครื่องเคียงข้างจอ / วัชระ แวววุฒินันท์/ ตรรกะประหลาด

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ / วัชระ แวววุฒินันท์

ตรรกะประหลาด

 

ช่วงนี้มีเรื่องให้ต้องประหลาดใจอยู่หลายครั้ง

ประหลาดใจในเรื่องอะไรน่ะหรือครับ ก็เรื่องตรรกะของผู้คนในสังคมยุคไทยแลนด์ 4.0 นี้น่ะสิ

ประหลาดใจว่า เขาเอาหลักอะไรมาคิด เขาเอาความคิดนี้มาจากไหน…ช่างกล้าแบบไม่มีสำนึกเลยอย่างนั้น

อย่างกรณีข่าวที่ว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งไปจอดรถขวางทางเข้า-ออกของบ้านหลังหนึ่ง จนเจ้าของบ้านไม่สามารถเอารถออกจากบ้านได้ เมื่อเจอตัวเจ้าของรถที่จอดขวางก็ได้ต่อว่าไป แทนที่นางจะสำนึก กลับบอกว่าที่มาจอด เพราะเห็นเป็นทางสาธารณะ ก็ต้องจอดได้สิ

แน้…เอากับนางสิ ไม่พอ ยังบอกอีกว่า แล้วจะไปตรัสรู้ได้ไงว่าจะออกจากบ้านตอนไหน เวลาไหน… เอาสิ (วะ)

เฮ้ย นี่มันเกิดอะไรขึ้น สำนึกก็ไม่มี ความเกรงใจก็ไม่มี ความถูกต้องเหมาะสมคืออะไรคงไม่รู้

จริงๆ แล้วเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะคิดไม่ได้ นึกไม่ถึงเลย เพราะถนนเป็นทางสาธารณะก็จริง แต่ก็มีกฎหมายห้ามจอดขวางทางเข้า-ออกสร้างความเดือดร้อนผู้อื่น กฎเกณฑ์บ้านเมืองก็มีไว้ชัดแจ้ง แต่จริงๆ เรื่องนี้ไม่ต้องพึ่งกฎหมายเลยก็ได้ เพียงแค่ใช้สำนึกเท่านั้นก็จะนึกออกว่า “ไม่สมควรทำ”

การที่ตรรกะป่วยอย่างนี้ ก็เป็นเพราะคนเราคิดอะไรคิดแต่มุมของตัวเอง คิดแต่เอาตัวเองรอด คนอื่นเป็นไงช่าง ฉันมีที่จอดก็จอด ไม่คิดว่ามันจอดได้หรือไม่ ไอ้บ้านที่เราจอดขวางอยู่มันจะเดือดร้อนหรือไม่

หากเรามองให้กว้างขึ้น มองเป็นคนอื่น มองแทนเจ้าของบ้าน เราก็จะไม่ทำ เพราะสำนึกได้ว่ามันสร้างความลำบากในการเข้าออกบ้านของเขา

ที่ตกใจหนักไปอีกคือ เมื่อถูกตำหนิ แทนที่จะเกิดพุทธิปัญญาคิดได้ว่า เออหนอ…เราทำผิดไปแล้ว กลับยังคิดว่าตัวเองถูก คุณน่ะผิด นี่สิที่น่าตกใจว่า อะไรทำให้เขาคิดได้อย่างนั้น เขาถูกเลี้ยงดูหรือเติบโตมาด้วยการสั่งสอนแบบไหนหรือ

 

อีกกรณีหนึ่งที่เป็นข่าวคราวขึ้นมาจากการจอดรถขวางเช่นกัน คราวนี้ไปจอดขวางรถของนักแสดงคนหนึ่ง นักแสดงคนนั้นจะออกก็ออกไม่ได้ รออยู่นานจนเจ้าของรถกลับมา และทราบว่าตนจอดรถขวางอยู่ ก็ขึ้นขับออกไปโดยไม่ได้แม้แต่เอ่ย “ขอโทษ”

เท่านี้ก็ถือว่าเป็นคนไม่มีมรรยาทพอแรงแล้ว เพราะทำผิดก็ไม่ขอโทษ

แต่ที่หนักกว่าคือ ไปโพสต์ต่อว่าในโลกโซเชียลถึงเรื่องนี้อีกเพื่อให้คนเห็นใจ ซึ่งก็ถูกต่อว่ากลับจากคนที่ทราบข่าว จนภรรยาของนักแสดงจะฟ้องร้องที่ทำให้เกิดความเสียหาย เรื่องร้อนจะถึงโรงถึงศาล ตนเองถึงค่อยคิดได้ว่าตนผิด รีบโล่มาขอโทษ…ทีอย่างนี้พูดขอโทษได้นะ บอกว่าอย่าเอาเรื่องตนเลย ตนมีลูกเล็กๆ ถึง 3 คนที่ต้องดูแล

เฮ้ย…มันเกี่ยวกันตรงไหน (วะ)

การที่มีลูก 3 คนต้องดูแลนี่มันทำให้เราสามารถทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ ทำผิดก็ไม่ต้องขอโทษได้งั้นเหรอ หรือเอาเรื่องราวไปลงโซเชียลให้สังคมเข้าใจคนอื่นผิดก็ได้งั้นสิ

ตรรกะประเภทไหนเนี่ย?

แล้วขอโทษ ชักสงสารลูกของครอบครัวนี้แล้วละว่าเด็กจะเติบโตมากับพ่อ-แม่ที่จะอบรมสั่งสอนเขาอย่างไรเหรอ ในเมื่อเรื่องง่ายๆ คนเป็นพ่อเป็นแม่ยังคิดไม่เป็นเลย เผลอๆ ลูกของครอบครัวนี้อาจจะโตมาเป็นคนแบบกรณีแรกที่ไปจอดขวางหน้าบ้านเขาแล้ว ยังมีหน้าไปว่าเจ้าของบ้านเขาอีกก็ได้

กลุ้มใจแทนสังคมไทยเหลือเกิน

 

วันก่อนได้ฟังเพลงแร็พสนุกๆ แต่เนื้อหาโดนใจเหลือเกิน ร้องโดยศิลปินชื่อว่า “นายนะ” เพลงที่ว่านี้มีชื่อ “รองเท้าหาย ตอนถวายสังฆทาน” ผมได้ยินชื่อก็หัวเราะก๊ากเลยละครับ

เชื่อว่าหลายคนคงมีประสบการณ์ร่วมแน่นอน ไม่เกิดกับตัวเองก็เกิดกับคนรู้จัก เวลาที่เราถอดรองเท้าก่อนจะเข้าไปในโบสถ์หรือกุฏิพระเพื่อไหว้พระ ทำบุญ หรือถวายสังฆทาน เราก็ต้องถอดรองเท้าเพื่อความสุภาพ และเคารพสถานที่

จิตใจที่เบิกบานจากการไหว้พระทำบุญ ก็ต้องกลับขุ่นมัวทันทีเมื่อออกมาพบว่ารองเท้า (กู) ไม่อยู่ซะแล้ว เดินหารอบๆ ก็ไม่เจอ เดือดร้อนต้องเดินเท้าเปล่าไปหาซื้อรองเท้าแตะมาใส่ก็มี

เรื่องนี้มันเกี่ยวกับเรื่องตรรกะอย่างไร?

มันเกี่ยวกับตรรกะของคนที่เอารองเท้าของคนอื่นเขาไปว่า คนเราเมื่อคิดจะเข้าวัดก็คงจะมีความตั้งใจในความดี คิดดีทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใส ตัดจากกิเลส แม้จะชั่วครู่ชั่วคราวก็ยังดี เมื่อเข้าไปทำกิจกรรมบุญด้านในแล้ว พอออกมาแทนที่ดวงตาจะเห็นธรรม กลับไปเห็นรองเท้าสวยๆ ของคนอื่น ขนาดเท้าก็เท่าของกูเลย อย่ากระนั้นเลย กิเลสก็ครอบงำให้ทิ้งรองเท้าคู่เก่าของเรา และคว้ารองเท้าคู่สวยของคนอื่นไปดีกว่า

มันเป็นตรรกะของคนเข้าวัดทำบุญยังไง (วะ) คิดหาคำตอบยังไงก็คิดไม่ออก

 

นี่เป็นตัวอย่าง 2-3 ตัวอย่างที่เกี่ยวกับตรรกะประหลาดๆ ที่เกิดบ่อยครั้งขึ้นในสังคมไทยเรานะครับ จริงๆ แล้วเราแทบจะได้เห็นเรื่องแบบนี้ในทุกวัน

ช่างกลแห่งหนึ่งแทงคู่อริตาย ก็มีตรรกะว่า “ล้างแค้นแทนรุ่นพี่” อย่างนี้มันก็คงต้องแทงกันไปเรื่อยๆ สลับกันล้างแค้น…ถ้าตรรกะมันเป็นอย่างงั้น

แม้แต่ในแวดวงการเมือง ที่ถ้ายังคงมีตรรกะ “พวกกูดีหมด ถูกหมด พวกมึงเลวหมด ผิดหมด” ถ้ายังเป็นเช่นนี้ก็คงจะป่วยการที่จะให้การเมืองไทยพัฒนาเสียที

หรือตรรกะที่ออกแบบให้ เบอร์ของพรรคการเมืองในแต่ละเขตไม่ใช่เบอร์เดียวกัน โอ้โฮ ยุ่งตายละ พรรคการเมืองก็หาเสียงยาก คนหาเสียงก็ยาก คนลงคะแนนเสียงก็ลำบากจำผิดจำถูก ถามว่าตรรกะแบบไหนเนี่ย

หรือตรรกะของอดีตผู้นำของไทยเรา ที่เคยพูดว่า “จะพัฒนาจังหวัดที่เลือกพรรคตัวเองก่อน จังหวัดไหนที่ไม่เลือกให้รอไปก่อน”

คงเพราะด้วยตรรกะประหลาดผิดวิสัยทัศน์ของคนเป็นผู้นำเช่นนี้ เลยทำให้ “ทั่น” ตะลอนๆ อยู่ตามประเทศไหนๆ ทั่วโลก โดยยังไม่ได้กลับมาเหยียบแผ่นดินแม้แต่บนจังหวัดที่เลือกพรรคท่านก็ตาม

ยิ่งใกล้กำหนดวันเลือกตั้งเข้าไปทุกที เราก็คงจะได้เห็นตรรกะประหลาดๆ จากชนเผ่าการเมืองทั้งหลายให้ชาวบ้านอย่างเรางุนงงแกมขำขันอีกเยอะแน่นอน

ว่าแต่ว่า…มีแน่นะ เลือกตั้งน่ะ

หรือจะเลื่อนไปอีก…ถ้าเลื่อนจะคอยดูว่า ท่านๆ จะบอกสังคมด้วยตรรกะประเภทไหนกันนะ…ลุ้นจนเยี่ยวเหนียวเลยนะเนี่ย