จรัญ มะลูลีม : สมานความแตกแยก

จรัญ มะลูลีม

ในไม่ช้าก็มีชายคนหนึ่งมาหาอะบูบักร์และอุมัร เพื่อบอกว่าพวกอันศอรฺกำลังรวมกันอยู่รอบๆ สะอฺด์ อิบนุ อุบาดะฮ์ ผู้นำข่าวมาบอกได้บอกด้วยว่าผู้นำทั้งสองควรจะออกไปรวมพวกผู้นำมุสลิมเสียก่อนที่การแตกแยกของชุมชนมุสลิมจะร้ายแรงยิ่งกว่านี้ เนื่องจากศพของศาสดาแห่งพระผู้เป็นเจ้ายังคงนอนอยู่ในบ้านไม่ได้ฝัง ย่อมเป็นการไม่ดีเป็นอย่างยิ่งที่ชาวมุสลิมจะแตกแยกกันเอง

อุมัรได้อ้อนวอนอะบูบักร์ขอให้ไปหาพวกอันศอรฺโดยเร็วพร้อมกับอุมัรเพื่อดูว่าคนเหล่านั้นกำลังทำอะไรกัน ในระหว่างทางคนทั้งสองพบชาวอันศอรฺที่เที่ยงธรรมและไว้วางใจได้สองคน ซึ่งเมื่อถูกถามก็ได้ตอบว่าพวกอันศอรฺกำลังจะไปไหนและทราบว่าทั้งสองคนกำลังจะไปยังที่ประชุมของพวกอันศอรฺ เขาก็แนะนำว่าไม่ควรไป แต่ให้พยายามจัดการเรื่องของพวกมุฮาญิรูนเองให้เรียบร้อย

แต่อุมัรนั้นตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะไปและอะบูบักร์ก็ชักชวนได้ไม่ยากเลยในข้อนี้ ทั้งสองคนมาถึงลานบ้านของบะนูซาอิดะฮ์ และได้พบว่าพวกอันศอรฺกำลังชุมนุมกันอยู่รอบๆ ชายคนหนึ่งซึ่งมีผ้าห่มพันกายอยู่ อุมัรอิบนุล ค็อฏฏ็อบถามว่าชายผู้นั้นเป็นใคร ก็ได้รับคำตอบว่าเขาคือสะอุด์ อิบนุ อุบาดะฮ์ ซึ่งกำลังป่วยหนัก ในขณะนั้นก็ได้มีพวกมุฮาญิรูนจำนวนหนึ่งมาสมทบกับอะบูบักร์และอุมัร พวกเขานั่งลงในที่ชุมนุม

สักครู่ก็มีโฆษกขึ้นมาปราศรัยกับพวกอันศอรฺด้วยถ้อยคำต่อไปนี้หลังจากกล่าวคำสรรเสริญและขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าแล้วว่า

 

“พวกเราคือพวกอันศอรฺ นั่นคือผู้ช่วยของพระผู้เป็นเจ้าและกองทัพแห่งอิสลาม พวกท่านคือพวกมุฮาญิรูนนั้นเป็นแต่เพียงกองทหารกองหนึ่งในกองทัพ อย่างไรก็ดี พวกท่านกลุ่มหนึ่งยังกระทำการอย่างสุดโต่งในการพยายามแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตามธรรมชาติของเราไป และปฏิเสธสิทธิของพวกเรา”

อันที่จริงนั้น เสียงร้องทุกข์เช่นนี้ มักจะมีอยู่บนริมฝีปากของพวกอันศอรฺอยู่เสมอมา แม้แต่ระหว่างที่ศาสดายังมีชีวิตอยู่

เมื่ออุมัรมาได้ยินอีกดังนี้ เขาก็แทบบังคับตัวเองไว้ไม่อยู่ อันที่จริงนั้นเขาพร้อมที่จะใช้ดาบยุติเรื่องนี้เสียให้จบสิ้นไปเสียที หากจำเป็นเนื่องจากเกรงว่าความบุ่มบ่ามเช่นนั้นจะทำให้เรื่องราวยิ่งร้ายลงไปมากกว่าจะกลายเป็นดี อะบูบักร์จึงได้ดึงหลังของอุมัรไว้ และขอให้เขาทำอะไรอย่างอ่อนโยน แล้วเขาก็หันไปยังพวกอันศอรฺและกล่าวว่า “โอ้ท่านทั้งหลาย เรา-พวกมุฮาญิรูนนั้นเป็นพวกแรกที่เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม เราเป็นผู้นำสืบเชื้อสายอันดีงามที่สุด เราเป็นผู้มีชื่อเสียงที่สุดและได้รับความนับถือที่สุด รวมทั้งมีจำนวนมากที่สุดไม่ว่าในกลุ่มใดๆ ในคาบสมุทรอารเบียนี้ ยิ่งกว่านั้นเรายังเป็นญาติร่วมสายโลหิตที่ใกล้ชิดที่สุดของศาสดาด้วย กุรอานเองก็ยังกล่าวถึงพวกเรา เพราะพระผู้เป็นเจ้าเองยังตรัสว่า

“พวกแรกสุดและยอดเยี่ยมที่สุดคือพวกมุฮาญิรูน ต่อมาก็คือพวกอันศอรฺ ต่อมาคือบรรดาผู้ที่ตามคนสองกลุ่มนี้ในคุณธรรมและความเที่ยงธรรม”

เราเป็นพวกแรกที่อพยพมาเพื่อพระผู้เป็นเจ้าและพวกท่านนั้นตามตัวอักษรเรียกว่า “อัล อันศอรฺ นั้นคือผู้ช่วยเหลือ อย่างไรก็ดี พวกท่านก็คือพี่น้องของเราในศาสนา เป็นผู้ร่วมของเราในผลประโยชน์จากสงครามและเป็นผู้ช่วยของเราต่อสู้กับข้าศึกศัตรู

ความดีทุกอย่างที่ท่านได้ทำมานั้นเป็นของท่านอย่างแท้จริงเพราะพวกท่านเป็นคนที่มีค่ามากที่สุดในบรรดามนุษยชาติ แต่ชาวอาหรับนั้นไม่รับรองและจะไม่ยอมรับรองอำนาจปกครองใดๆ นอกจากจะเป็นของเผ่ากุร็อยช์ พวกกษัตริย์ต้องมาจากพวกเรา ส่วนพวกท่านนั้นเป็นเสนาบดี”

 

เมื่อพูดดังนี้ คนในกลุ่มอันศอรฺคนหนึ่งรู้สึกโกรธขึ้นมาจึงพูดขึ้นว่า “นอกจากฉันซึ่งเป็นนักรบผู้เชี่ยวชาญ! คำตัดสินทุกอย่างอยู่ที่แขนของฉันนี้ และคำตัดสินของฉันก็คือว่า พวกชาวกุร็อยช์อาจจะมีกษัตริย์ของเขาเองได้ตราบเท่าที่พวกเราก็จะมีกษัตริย์ของเราเองด้วย”

อะบูบักร์ได้ประกาศอีกว่าพวกผู้ปกครองของชาวมุสลิมจะต้องมาจากเผ่ากุร็อยช์ ในขณะที่พวกขุนนางจะมาจากพวกอันศอรฺ เขาได้จับมือของอุมัร อิบนุล ค็อฏฏ็อบและของอะบู อุบัยดะฮ์ อิบนุล ญัรรอฮ์ ซึ่งนั่งอยู่คนละข้างของเขาขึ้น อะบูบักร์ได้กล่าวขึ้นว่า “เราจะยอมรับคนหนึ่งคนใดในสองคนนี้เป็นผู้นำของชุมชนมุสลิม จงเลือกเอาคนที่พวกท่านพอใจเถิด”

ในขณะนั้นผู้คนทั้งหลายทั้งหมดที่อยู่ที่นั่นก็เริ่มพูดขึ้นมาในเวลาเดียวกันจนที่ประชุมเกือบจะแตกแยกกัน อุมัรได้เอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ดังชัดเจนว่า “โอ้ อะบูบักร์ จงยื่นมือของท่านออกมาเถิดและข้าพเจ้าจะให้สัตยาบันความจงรักภักดีของข้าพเจ้าแก่ท่าน ก็ศาสดาเองนั้นมิได้สั่งให้ท่านเป็นผู้นำละหมาดของชาวมุสลิมดอกหรือ? เพราะฉะนั้น ท่านก็คือผู้สืบต่อของศาสดา เราขอเลือกท่านให้ดำรงตำแหน่งนี้ ในการเลือกตั้งท่านนั้นเราได้เลือกคนดีที่สุดผู้ซึ่งศาสดาแห่งพระผู้เป็นเจ้าเคยรักและไว้วางใจ”

คำพูดของอุมัรสัมผัสหัวใจของบรรดามุสลิมที่อยู่ ณ ที่นั้นเพราะคำพูดนั้นแสดงให้เห็นเจตนารมณ์ของศาสดาจนถึงวันสุดท้ายแห่งชีวิตของท่าน ในวันนั้นพวกเขาได้เห็นแล้วว่าศาสดาได้รบเร้าให้อะบูบักร์เป็นผู้นำละหมาด แม้กระทั่งในตอนที่ท่านเองอยู่ที่นั่น ดังนั้น ความแตกแยกระหว่างฝ่ายอันศอรฺกับฝ่ายมุฮาญิรูนจึงมลายหายไป

และสมาชิกของทั้งสองฝ่าย ต่างก็ก้าวมาข้างหน้าเพื่อให้สัตยาบันความจงรักภักดี

 

ในวันรุ่งขึ้น ขณะที่อะบูบักร์กำลังอยู่ที่ธรรมาสน์ในมัสญิด อุมัร อิบนุล ค็อฏฏ็อบได้ลุกขึ้นยืน ณ เบื้องหน้าที่ชุมนุม หลังจากกล่าวคำสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าแล้ว เขาก็กล่าวว่า “เมื่อวานนี้ข้าพเจ้าได้เสนอความคิดใหม่แก่ท่าน ข้าพเจ้ามิได้เอามาจากพระคัมภีร์ของพระผู้เป็นเจ้าหรือว่าจากความทรงจำใดๆ ที่ข้าพเจ้ามีต่อศาสดาแห่งพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเพิ่งนึกขึ้นมาเองว่าศาสดาแห่งพระผู้เป็นเจ้าจะเป็นผู้นำทางของเราในโลกนี้ไปตลอดกาลและท่านจะมีชีวิตอยู่นานกว่าพวกเราทั้งหมด แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ารู้ดีกว่านั้น พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบพระคัมภีร์ของพระองค์ อันเป็นคลังแห่งทางนำของศาสดาของพระองค์ไว้ให้เรา

ถ้าเรายึดมันไว้ให้ใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าก็จะทรงนำเราไปยังความสุขเช่นเดียวกับที่ทรงนำศาสดาของพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงผนึกกำลังท่านทั้งหมดไว้ภายใต้ความเป็นผู้นำของคนที่ดีที่สุดในหมู่พวกท่าน ในหมู่สาวกของศาสดาแห่งพระผู้เป็นเจ้า ขอความสันติและพรของพระองค์จงประสบแด่ท่านเถิด ผู้ไล่ตามมาอย่างกระชั้นชิด จงลุกขึ้นให้สัตยาบันว่าจะจงรักภักดีต่อเขาเถิด” ผู้คนทั้งหมดจึงลุกขึ้นและสัญญาว่าจะจงรักภักดีต่ออะบูบักร์

นั่นคือ บัยอะฮ์ (การให้สัตยาบัน) สาธารณะ ซึ่งตามมาหลังจากบัยอะฮ์ส่วนตัวที่ให้ไว้ในลานบ้านของบะนูซาอิดะฮ์

 

หลังจากนั้นอะบูบักร์ก็ได้ลุกขึ้นกล่าวคำปราศรัยซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นที่รวมแห่งความปรีชาฉลาดและวิจารณญาณอันลึกซึ้งที่สุดชิ้นหนึ่ง หลังจากกล่าวคำขอบคุณและสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าแล้ว อะบูบักร์ก็กล่าวว่า

“โอ้ท่านทั้งหลาย! ณ ที่นี้ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายให้ทำงานเป็นผู้ปกครองของพวกท่าน ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นคนดีที่สุดในหมู่ท่านเลย ถ้าข้าพเจ้าทำงานดีก็โปรดช่วยเหลือข้าพเจ้าเถิด ถ้าข้าพเจ้าทำผิดไปก็ขอได้แก้ไขด้วย ความซื่อสัตย์ก็คือความจงรักภักดี และการโกหกมดเท็จคือความทรยศ ผู้อ่อนแอจะเป็นผู้แข็งแรงในสายตาของข้าพเจ้าจนกว่าข้าพเจ้าได้นำเอาสิทธิที่เขาสูญเสียไปกลับคืนมาให้เขา และผู้แข็งแรงจะเป็นผู้อ่อนแอในสายตาของข้าพเจ้าจนกว่าข้าพเจ้าจะนำเอาสิทธิของผู้อ่อนแอมาจากเขา ไม่มีผู้ใดที่เลิกต่อสู้เพื่อเจตนารมณ์ของพระผู้เป็นเจ้าที่พระองค์ไม่ทรงทำให้เขากลายเป็นข้าที่ต่ำช้าน่าสังเวชและไม่มีผู้ใดที่มอบตนให้แก่ความหยาบช้าลามกที่พระองค์ไม่ทรงห้อมล้อมเขาด้วยความทุกข์ จงเชื่อฟังข้าพเจ้าตราบเท่าที่ข้าพเจ้าเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้าและศาสดาของพระองค์ แต่หากข้าพเจ้าไม่เชื่อฟังคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าหรือของศาสดาของพระองค์ การเชื่อฟังข้าพเจ้าก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับท่าน”

“จงลุกขึ้นละหมาดกันเถิด เพื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าจักได้ทรงอวยพรให้ท่าน”