การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ แค่ให้มันผ่านไป

ฉันเคยต้อนรับชื่นใจในห้องนอนของฉัน เช่นกันกับเคยต้อนรับเด็กผมขอดในนี้ แต่ทั้งสองคนนั้น ก็จำหลักในใจฉันแตกต่างกันไป หากแต่กับหวาน…ฉันไม่รู้สึกว่า จะต้องทำอะไรพิเศษมากมาย สะลียังพับไว้เป็นท่อน ก็ไม่คิดจะปูลงมา มีแต่หนังสือหนังหาเท่านั้นที่ต้องเรียงไว้สักหน่อย

ฉันมีแจกันใบน้อยอยู่ในห้องด้วยอันหนึ่ง ซื้อมาจากกาดนัดวันได้ไปแอ่วเวียง…ที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้เรียกแถวตลาดและอำเภอว่า “เวียง” และเรียกตัวอำเภอเมืองว่า “เวียงเชียงใหม่” คงเพราะในตำนานมันเป็นเมืองที่พญากษัตริย์สร้างทั้งคู่ ในเมืองที่ฉันอยู่นี้ยังมีกำแพงเก่าและวัดวาอารามหลายแห่งที่อยู่มาหลายร้อยปี

ครั้งที่ไปแอ่วกาดวันหนึ่ง ฉันพบคนขายแจกันใบหนึ่ง แค่ดินเผาเคลือบสีเป็นลายดอกไม้ ไม่ต่างอะไรกับที่คนนิยมวางไว้บนหิ้งพระหรือเรือนเจ้าที่ แต่มีอะไรบางอย่างที่นึกชอบ อาจเป็นสีดอกเลอะๆ แดงส้ม ใบไม้ปลายเรียวเขียวจัด ฉันนึกถึงว่า ถ้าเอามาใส่ดอกวางไว้ คงช่วยทำให้มุมเขียนสมุดสวยงามขึ้น

ฉันมีโต๊ะไม้เล็กๆ ใหม่อีกตัว พ่อทำให้ แทนตัวเก่าที่เคยใช้สมัยเด็ก แต่ก็ยังทำจากเศษไม้แป้น ต่อขาให้สูงขนาดนั่งเขียนกับพื้นได้ ฉันเล็งแล้วเล็งอีก ก็ตัดสินใจวางไว้ข้างฝาทิศตะวันตก แล้วจึงเด็ดดอกหญ้ามาใส่แจกันไว้ด้วย

มองดูรอบๆ ห้องอยู่ครู่หนึ่ง ไม่เห็นว่าจะต้องทำอะไรอีก สักพักก็มีเสียงเดินย่ำขึ้นบันไดเรือนมา ยินเสียงแม่พูดกับคนมาเยือนแว่วๆ หวานมาถึงแล้วเป็นแน่

 

ฉันเปิดประตูให้เพื่อน และเพื่อนก็เดินเข้ามาถึงกลางห้อง หวานกราดตามองไปรอบๆ

“ห้องเธอดูน่าอยู่เชียว”

“อือ นั่งสิ”

ฉันลงนั่งขัดสมาธิใกล้โต๊ะเขียนหนังสือ หวานดูเก้กังเล็กน้อย อาจเพราะไม่คุ้นกับการนั่งเป็นพิธีรีตอง ต่างจากตอนอยู่ตามกะล่างกลางข่วง หรือในเพิงพักห้างทุ่งที่แปลงเพาะต้นกล้า และฉันก็สังเกตว่า หวานทาแป้งมาจนแก้มหม่น

หวานเป็นคนสวยไหม…ก็หน้าตาใช้ได้อยู่กระมัง หากจะมองอย่างพินิจ เป็นคนมีอกมีเอว แต่มือใหญ่ตีนใหญ่ ผิวจริงๆ น่าจะขาวกว่าฉัน แต่การโดนแดดโดนลมก็ทำให้ดูเป็นผิวคล้ำไป และในสายตาของฉัน หวานมักจะสวมเสื้อผ้าแปลกๆ อาจเพราะเป็นมรดกตกทอดมาจากพี่ๆ ทั้งผู้หญิงผู้ชาย แต่คืนนี้หวานยังคงสวมเสื้อสีเหลืองตัวเก่า

“กินข้าวกับอะไรมา” ฉันเอ่ยปากถาม

“น้ำพริกแคบหมู” หวานตอบ “กับแกงมะนอย”

“อ้อ”

“เธอล่ะ”

“แม่แกงอ่อมจิ๊นควาย”

พูดออกไปแล้ว ก็ให้รู้สึกว่า เหมือนจะขับเน้นความแตกต่างอีก ฉันไม่ได้เป็นคนร่ำรวยอะไร ยิ่งถ้าเทียบกับคนบ้านใหญ่โตอย่างจอมฝัน แต่ในบ้านของเรานั้นก็ยังมีของกินที่เป็น “จิ๊น” เป็น “เนื้อ” บ่อยกว่าบ้านหวาน

บ้านที่มีคนจำนวนมาก หากจะซื้อจิ๊นมาทำอาหาร จิ๊นหมูจิ๊นควายสักขีดก็ต้องแกงใส่ผักเป็นหม้อๆ ถึงจะพอกิน การจะได้กินจิ๊นลาบแกงอ่อมล้วนๆ ต้องนับเป็นวาระพิเศษจริงๆ

“ดีเนาะ” นั่นไง หวานพูดมันออกมาแล้ว “บ้านเธออยู่ดีมีสุขกันแท้”

ฉันมองหน้าหวาน แล้วก็ตัดสินใจพูดออกไป

“เธออยากมาอยู่ไหมล่ะ พี่ชายฉันก็คงอยากให้มานะ”

 

มีตอเฟืองที่แห้งแล้งในท่ามกลางละอองไอเย็นของหยาดน้ำค้างหนาว กลับมาอีกครั้ง มันปรากฏโฉมขึ้นในดวงตาของหวาน ราวฉันกำลังมองเข้าไปในราตรีกาล เพื่อจะเห็นทุกสิ่งอันสลัวรางอย่างพร่าเลือน

ฉันเคยวิ่งเข้าไปในทุ่งข้าวหลังเก็บเกี่ยว ตอนเล่นและไล่กันกับรอย ซังข้าวกล่นเกลื่อน ตอเฟืองบาดผิวเราจนเป็นรอยซิบๆ รองเท้าสายคีบหลุดออกจากตีน แต่เรายังวิ่งกันต่อไม่คณา

แต่บัดนี้ฉันไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาอีกต่อไป ทำไมฉันจะไม่รู้จักความเจ็บปวดรวดร้าวทั้งหลาย ทำไมฉันจะไม่เข้าใจในสายลมที่เยียบเย็นเหล่านั้น

ลมอันพัดกระด้างเข้ามา ทำให้เราหนาวสั่นอยู่กลางทุ่งนาฟ้ากว้าง อยู่กับความอ้างว้างที่น่าชัง

ฉันแน่ใจในนาทีนั้นแล้วจริงๆ ว่า ฉันไม่ชอบความรัก ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ฉันจะไม่รักใครอีก

แม้แต่ในตอนนี้ ฉันก็ไม่ควรจะรักอีก…ต่อให้ซีกหนึ่งของภาพวาดในกรอบ ยังคว่ำทับหน้าลงบนชั้นหนังสือ

 

“หวาน” ฉันเอ่ยปากออกไป เมื่อเราอยู่ในความเงียบได้ระยะหนึ่งแล้ว “เธอคิดยังไงกับพี่ชายฉันล่ะ เขาก็…เป็นคนดีนะ”

“เธอไม่ต้องพูดเลย…” หวานเสียงเบา และฉันก็คิดว่า สักพักคงจะได้เห็นหยดน้ำกลิ้งไหลออกตา แต่ว่า จนแล้วจนรอด กลับไม่มีสิ่งนั้น

มีเพียงเสียงสั่นไหว

“เธอไม่เข้าใจฉันหรอก”

“จะให้เข้าใจเรื่องอะไรล่ะ?” ฉันถามกลับไปอีก “เธอมีใครมาแอ่วมาอู้อีกหรือ”

“ไม่มี” หวานส่ายหน้า และเบือนมาสบตาฉันเต็มตา “เธอล่ะ…มีพี่โสมเป็นพี่สาวใช่มั้ย”

ในหมู่บ้าน คำว่า “พี่สาว-น้องสาว” มีความหมายได้ถึงเรื่องชอบพอระหว่างเพศเดียวกัน แต่มันก็มักเป็นแค่การ “เหล้น” ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หลายครั้งที่ “พี่สาว-น้องสาว” ต่างออกเรือนเอาผัวไป

แต่นั่นก็คงไม่ใช่ชีวิตฉัน นอกจากจะไม่อยากรักใคร ฉันไม่อยากเป็นเมียใครทั้งนั้น

“เธอจะสนใจเรื่องของฉันทำไม” ตอบหวานไปเสียอย่างนั้น

“แล้วเธอล่ะ สนใจเรื่องฉันทำไม” หวานถามกลับ

นั่นคือจังหวะที่ดีที่สุด ฉันเห็นช่องเหล่านั้นได้ทันที

“ฉันไม่ได้สนใจเธอนี่”

หวานมองหน้าฉัน ปากสั่นระริกแต่น้อย หากก็ยังพูดโต้ตอบ

“แล้วเธอมีอะไรจะพูดกับฉัน…”

 

ฉันรู้ว่า การทำเสียงหัวเราะอยู่ในลำคอดูน่าชัง และการทำท่าขบขันคนตรงหน้า อาจทำให้คนคนนั้นรู้สึกแย่ขึ้นไปอีก นั่นเพราะฉันไม่ใช่คนที่จะทำตัวตลกแล้วน่าดูอย่างหวาน ใช่…ที่ผ่านมา หวานมักจะดูเป็นคนตลกขบขัน อารมณ์ดี บางทีก็ดูบ้าๆ บอๆ เข้าไหนคุ้นนั่น จนเราสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงทำงาน แต่ฉันก็ไม่เคยเป็นฝ่ายเดินตามหาหวานสักครั้ง

หวานเสียอีก มักมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ คอยใส่ใจทุกสิ่งอัน ย้อนคิดกลับไป วันไหนจักรยานดูจะยางแฟบ ก็แอบเอาไปสูบลมให้ หากฉันพาดผ้าขาวม้าไว้ ลมพัดตกดิน ก็หวานนี่เองที่คอยรีบเก็บกลับคืน

ออกบ้านเช้าหรือสาย เป็นต้องได้เจอหวานที่สามแยกใกล้ต้นงิ้วขาว หวานจะย้อนมาจากบ้านตัวเองเพื่อจอดรถถีบรอฉันอยู่

ฉันไม่เคยรู้…ว่าหวานคิดอะไรมากไปกว่าคำว่าเพื่อน แต่เพราะไม่เคยสนใจ และเมื่อมีสถานการณ์ทำให้เห็นบางสิ่งเลาๆ…ฉันก็รู้สึก…รู้สึกมากมาย จนคิดว่าจะต้องรีบพูดกันเรื่องนี้

ฉันอยากให้คนดีๆ อย่างนี้ มีอนาคตที่ดี มีสิ่งที่สมควรได้สมควรรับ มันอาจเป็นสิ่งเดียวที่จะพอมอบให้ได้ จากความจริงใจของฉัน

“…แล้วเธอมีอะไรจะพูดกับฉัน” นั่นคือคำถามของหวาน

“เธอต่างหาก มีอะไรอยากจะพูดกับฉัน…ไม่ใช่หรือ” ฉันยังไม่ตอบง่ายๆ

“ฉันแค่จะมาเอาผ้าของเธอไปเย็บ”

“พี่ชายของฉันชอบเธอแน่ะ” ฉันสวนออกไป

“…ฉันแค่จะมาเอาผ้าของเธอไปเย็บ”

“ที่ฉันอยากจะพูดกับเธอก็คือว่า…ฉันคิดว่าพี่ชายของฉันชอบเธอ เขาเป็นคนนิสัยดี ฉันก็หวังดีกับเธอนะ”

 

มีอีกกี่ประโยคที่เราโต้ตอบกัน เหมือนการพูดคุยกันอยู่ในทุ่งกว้างที่ยังเปล่าเปลี่ยว เธอเป็นกระดึงงัว ฉันเป็นกระดึงควาย เราโต้ตอบกันในสายลมพัดเพ กระดึงของเธอทำจากไม้ กระดึงของฉันทำจากเหล็กเก่า เสียงของมันคงไม่อาจผสมผสานกัน นอกไปจากนั้น ที่ๆ คล้องห่วงเราไว้ก็คือสัตว์ต่างชนิด

ฉันคิดแบบนั้น พลางรู้สึกโศกเศร้ามากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่อาจอธิบายได้ แม้ปากจะพูดเรื่องต่างๆ ออกไป หัวใจกลับโหยหาสมุดและปากกาแทบขาดใจ ฉันอาจจะได้กลอนสักบทหนึ่ง หรือคำรำพึงสักหน้า แต่ว่า ฉันจะเขียนมันเพื่ออะไร

อย่างฉับพลันทันใด แจกันหล่นตกจากโต๊ะ กลิ้งลงบนพื้นเสื่อ น้ำหกไหลนอง ดอกไม้หล่นเทลงบนพื้น เป็นฉันที่เผลอปัดมันโดยไม่ได้ตั้งใจ

หวานเบิกตา รีบคว้าสมุดหนังสือบนโต๊ะไว้

“เอามานี่!”

และก็เป็นฉันที่รีบดึงของออกมาจากมือกร้าน

หวานเบิกตามองตาฉัน แก้มหม่นจนเห็นขุยแตกชัด ขนตาสั้นๆ ลูกตาปราศจากความแวววาว มันยังคงบอกเรื่องราวของราตรีที่ขะมุกขะมอม

“พี่ชายของฉันชอบเธอ เขาชอบเธอมากนะ ถ้าเธอยังไม่มีใครมาฟู่ ลองอู้กับเขาดูสิ”

ยังคงมีประโยคซ้ำๆ ออกจากปากของฉัน และหวานก็ปล่อยมือใหญ่หนาตกลง ฉันหอบเอาทรัพย์สมบัติของตัวเองไว้ สมุดลายไทย หนังสือที่พ่อยืมมาให้จากวัด พลางลุกขึ้นส่งพวกมันสู่ชั้นไม้

มือฉันหยิบกรอบรูปขึ้นตั้งไว้อีกคราว จงใจให้หวานมองเห็นชัดๆ

ใบหน้าของจอมฝันมองออกมาจากกรอบกระดาษลัง เหมือนจะเป็นวันแรกด้วยซ้ำที่ภาพนั้นดูมีชีวิตชีวาอย่างตั้งใจ

ฉันคิดถูกแล้วที่วาดสายตายั่วเย้านั้นเอาไว้

หวานลุกขึ้นยืน ปัดก้นอย่างเคยชิน

“ฉันจะกลับแล้ว”

“อือ ไปคนเดียวได้หรือเปล่า”

“ได้”

“ต้องเอาไฟฉายมั้ย”

“ไม่ต้องหรอก ยังมีไฟกิ่ง เห็นอยู่”

“ไม่ต้องเย็บดีมากหรอกนะ เสื้อน่ะ”

“เรื่องของฉัน” หวานสูดน้ำมูกเหมือนคนเป็นหวัด หากก็ยังไม่มีอื่นใดในตาแห้งผาก “แต่ฉันไม่ทำผ้าเธอเสียหายหรอก”

“พี่ชายของฉัน…”

“หยุดพูดเสียทีเถอะ!” หวานกระชากเสียงใส่ฉันเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ที่เราคบหากันมา “เธอน่ะ ไม่รู้อะไรหรอก!”

ใช่ ฉันไม่รู้อะไรทั้งสิ้น และไม่อยากจะรับรู้อะไรเลยจริงๆ นั่นคือสิ่งที่ทำให้ฉันเอาแต่ยืนนิ่ง ทำหน้าเฉยเมย ปล่อยให้ตอเฟืองสีเหลืองหม่นมัวปลิวผ่านตัวไป…แค่ให้มันผ่านไป…