บทวิเคราะห์ / ปฏิทินสีแดง

บทวิเคราะห์

ปฏิทินสีแดง

 

ยังคงเป็น “ดาวยั่ว” ทางการเมืองอย่างคงเส้นคงวาสำหรับคนแดนไกล อย่างนายทักษิณ ชินวัตร

ทั้งเป็นการยั่วด้วยตนเอง และยั่วจากเครือข่ายที่ยังรัก-ศรัทธา

ทั้งนี้ แม้เพลงแร็พ “ประเทศกูมี” ติดลมบนจะไม่ได้มีจุดเริ่มที่ “ทักษิณ”

แต่ผลสะเทือนที่มีต่อรัฐบาลรุนแรงและมีทีท่าจะไม่จบลงง่ายๆ

จึงไม่แปลกที่เครือข่ายโซเชียลมีเดีย ซึ่งสนับสนุนนายทักษิณ จะกระโดดเข้ามาร่วม “ยั่ว”

และล่าสุดคือกรณี “นาฬิกา” ที่คาราคาซังมาเนิ่นนานเช่นกัน

 

คงไม่ลืมว่า ท่อนหนึ่งของเพลงแร็พประเทศกูมี มีเนื้อว่า

“…ประเทศไร้คอร์รัปชั่น ที่ไม่มีการตรวจสอบ

ประเทศที่นาฬิกา รมต. เป็นของศพ…”

และประเด็นนี้ก็ได้ถูกเครือข่ายทักษิณนำมายั่ว และล้อต่อ

ปรากฏว่าเว็บไซต์ของสำนักต่างๆ ร่วมรายงานข่าวที่ “แตกหน่อ” ออกไปนี้อย่างพร้อมเพรียงกัน

เช่น ไทยโพสต์ออนไลน์ ระบุว่า

“5 พ.ย.61 – ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ กรุงเทพ กรุงเทพ ซึ่งมีความใกล้ชิดกับนายทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องหาหนีหมายจับคดีคอร์รัปชั่นหลายคดี

โพสต์รูปและข้อความเกี่ยวกับนาฬิกาอีกครั้ง

หลังจากก่อนหน้านี้เคยอวดนาฬิกา Patek Philippe Grandmaster Chime Ref. 6300 ราคา 2.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 76 ล้านบาท ทำจากทองคำขาว 18K มาแล้ว

โดยเหน็บแนมว่า…

“ลุงตู่ ลุงตู่ นาฬิกาลุงแม้วสวยนะ เหมือน Patek Philippe 5208P-001 เลย ราคา 960,000 US.ดอลลาร์ (ประมาณ 31 ล้านบาท)

ลุงตู่บอกลุงป้อมให้หอบเงินสดใส่กระเป๋าไปซื้อดิ คิดว่าราคาจิ๊บๆ สำหรับลุงป้อมนะ ว่ามั้ย ไปซื้อร้านเดียวกะลุงแม้วก็ได้

#ลุงแม้วขอส่วนลดให้ได้นะ

#อย่าแปลกใจเนี่ยเจ้าของเหมืองเพชร…”

จากรายงานข่าวนี้ ตัวละครที่ปรากฏในเฟซบุ๊ก กรุงเทพ กรุงเทพ โดยเฉพาะในฟากนายทักษิณอาจหัวเราะชอบใจ

แต่บางตัวละคร โดยเฉพาะที่อยู่ “ฝ่ายตรงข้าม” คงกัดฟันกรอดๆ

เพราะทั้งถูก “ข่ม” ทั้งถูก “เหน็บแนม”

รวยแล้วรู้จักซื้อ “นาฬิกา” ใส่เองบ้าง!

 

ขณะที่เพลงแร็พ เป็นหนังยาวไม่จบลงง่ายๆ อย่างที่ว่าไป

ในเวลาไล่เลี่ยกัน

ประเด็นใหม่ก็โผล่ออกมายั่วและท้าทายฝ่ายกุมอำนาจในปัจจุบันอีกเรื่อง

โดยเริ่มจาก ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Wassana Kenhla จาก จ.อุดรธานี โพสต์ภาพถ่ายตัวเองนั่งพูดคุยกับทหารในชุดลายพราง กำลังถือปฏิทินปี 2562 เป็นภาพนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ อยู่ในมือ

และเขียนข้อความประกอบภาพว่า

“…มีเจ้าหน้าที่มาสอบถามเรื่องปฏิทินแต่เช้า ถามว่าได้ปฏิทินมาจากไหน

จึงถามกลับไปว่า การมีปฏิทินดังกล่าวผิดอย่างไร

หลังโพสต์ข้อความและภาพมีการนำไปแชร์ต่อ กระทั่งผู้ใช้เฟซบุ๊กคนอื่นๆ พากันวิจารณ์เหตุการณ์ดังกล่าวจำนวนมาก และในเวลา 17.30 น. ไอลอว์สอบถามมาและได้รับข้อมูลเพิ่มเติมว่าหลังผู้โพสต์โพสต์ภาพและข้อความไป เจ้าหน้าที่ทหารชุดเดิมก็กลับมาที่บ้านอีกครั้งในเวลา 15.30 น. และบอกให้ลบภาพและโพสต์ดังกล่าวทิ้งเพราะมีภาพเจ้าหน้าที่ปรากฏอยู่ด้วย แต่ยืนยันไม่ลบภาพเพราะเห็นว่าไม่ได้กระทำความผิดใดๆ…”

ทั้งนี้ ผู้ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าวเล่าถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า เวลา 09.30 น. วันที่ 5 พฤศจิกายน มีเจ้าหน้าที่ทหาร 5 นาย เข้ามาสอบถามว่ามีปฏิทินภาพอดีตนายกฯ ทั้งสองใช่หรือไม่

ได้มาจากผู้ใด ใครเป็นคนจัดทำ

ก็ตอบไปว่า ได้มาตอนที่เข้ามากรุงเทพฯ มีคนเอามาให้ 20-30 อัน เลยเอามาแจกเพื่อนๆ แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนจัดทำ

เจ้าหน้าที่ทหารขอปฏิทินซึ่งให้ไปหนึ่งอัน

จึงได้ถามเจ้าหน้าที่ทหารด้วยว่า มีปฏิทินดังกล่าวในครอบครองเป็นความผิดหรือไม่อย่างไร

ซึ่งได้รับคำตอบว่าไม่ผิด

หลังเหตุการณ์ดังกล่าว นายอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน โพสต์ข้อความ เหตุเกิดที่อุดรฯ ทหารข้องใจปฏิทิน

ทำให้เรื่องนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว

 

ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เพียงที่ จ.อุดรธานีเท่านั้น

มีเหตุการณ์คล้ายกันที่ จ.อุบลราชธานี เกี่ยวกับ “ปฏิทินแม้ว-ปู”

โดยเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 6 พฤศจิกายน  พล.ต.ต.ธนิตศักดิ์ ศิริพัฒนภาค ผบก.ภ.จว.อุบลราชธานี พร้อม พ.ต.อ.ชัชวาลย์ แก้วจันดี รอง ผบก.ภ.จว.อุบลราชธานี, พ.ต.อ.อดิเทพ พิชาดุลย์ ผกก.สภ.วารินชำราบ, พ.ต.ท.นพดล เปลี่ยนรูป รอง ผกก.สส.สภ.วารินชำราบ กำลังเจ้าหน้าที่ปกครอง, ทหาร สนธิกำลังเข้าตรวจสอบร้านอุดมแอร์ ตั้งอยู่เลขที่ 43/1-2 ถ.สถิตย์นิมานกาล ต.วารินชำราบ อ.วารินชำราบ

ซึ่งมีนางรัฐวีร์ หรือรัตนา ผุยพรม อายุ 46 ปี กลุ่มแดงเสรีชน ซึ่งมีบทบาทเข้าร่วมการเคลื่อนไหวทางการเมืองกับกลุ่มคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย เป็นเจ้าของร้าน

ทั้งนี้ ตำรวจและทหารระบุว่า ได้รับแจ้งที่ร้านดังกล่าวเตรียมนำภาพปฏิทินแจกจ่ายให้คนเสื้อแดงในจังหวัดอุบลราชธานี

จึงขอตรวจค้น

จากการตรวจสอบภายในร้านอุดมแอร์ พบลังกระดาษบรรจุแผ่นโปสเตอร์ปฏิทิน ด้านหน้ากล่องระบุชื่อผู้รับคือ นางรัฐวีร์ ผุยพรม ส่วนผู้ส่งระบุเพียงชื่อเล่นว่าปลื้ม โดยเป็นลังที่ยังไม่แกะกล่อง 9 กล่อง แต่ละกล่องบรรจุแผ่นโปสเตอร์ปฏิทิน 600 ใบ และอีกส่วนหนึ่งที่แกะออกแล้ว หลังตรวจนับได้แผ่นโปสเตอร์ทั้งสิ้น 5,553 ใบ เจ้าหน้าที่จึงตรวจยึดไว้

นายศราวุธ จันทาดี อายุ 23 ปี บุตรชายนางรัฐวีร์ ให้การว่า มารดาไม่อยู่ เดินทางไปกรุงเทพฯ จึงมาอยู่ดูแลร้านแทนมารดา

ส่วนกล่องกระดาษบรรจุแผ่นโปสเตอร์ปฏิทินที่พบเห็น ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้นำมาส่ง เจ้าหน้าที่จึงเชิญตัวนายศราวุธบุตรชายไปให้ปากคำที่ สภ.วารินชำราบ

แต่ยังไม่มีการแจ้งข้อหาใดๆ

 

กรณีดังกล่าวกลายเป็นประเด็นระดับชาติทันที

เมื่อกรณีดังกล่าวถูกนำไปถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า การแจกหรือติดปฏิทินที่มีรูปของอดีตนายกฯ นายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไว้ที่บ้าน มีความผิดอย่างไร

ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เรื่องนี้ก็ต้องดูว่าเป็นเรื่องที่ควรหรือไม่ควรก็ต้องไปหามา เป็นหน้าที่ของหน่วยงานด้านความมั่นคงก็ต้องไปดูในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปฏิทินหรือเรื่องอื่นๆ

“ถ้าอะไรก็ตามที่มีผลต่อการสร้างความเกลียดชังและผลกระทบต่างๆ ก็ต้องไปตรวจสอบ ถือเป็นหน้าที่ของหน่วยงานด้านความมั่นคง ต้องไปดูว่าเหมาะสมหรือไม่ เป็นอดีตนายกฯ แต่มีความเกี่ยวข้องกับคดีความต่างๆ ที่ยังมีปัญหาอยู่ ก็ต้องไปดูว่าควรจะทำหรือไม่ควรทำ ขอร้องว่าอย่าไปขยายผลเพิ่มเติมให้กับเขาเลย ไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ด้วยซ้ำ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ที่ทหารบุกพบชาวอุดรธานีที่มีปฏิทินปีใหม่รูปนายทักษิณและ น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น เจ้าหน้าที่เพียงขอไปดู ไม่มีอะไร

“คนที่ครอบครองก็ไม่มีความผิด” พล.อ.ประวิตรย้ำ และว่า ส่วนจะแจกได้หรือไม่นั้นต้องไปถาม คสช. และเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปตรวจสอบมีเพียง 3-4 คนเท่านั้น เบื้องต้นทราบว่าคนที่ครอบครองปฏิทินดังกล่าวเป็นคนที่ต่อต้านรัฐบาลอยู่แล้ว รู้กันอยู่ว่าเป็นพวกใคร ต้องไปดูว่าปฏิทินนั้นเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองด้วยหรือไม่ ส่วนใครจะรักใครชอบใคร ก็ว่ากันไป

ส่วนข้อกังวลที่ว่าอาจจะมีการสร้างสถานการณ์ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ก็ว่ากันไป ถ้ารัฐบาลคุมไม่อยู่อาจเกิดความวุ่นวาย แต่ถ้าคุมอยู่ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้รัฐบาลคุมอยู่”

 

ด้านตำรวจ ซึ่งเคยพลาดพลั้งกรณีจะเข้าจับกุมผู้ร้อง-ผู้แต่งเพลงแร็พ

ส่งผลให้เพลงประเทศกูมีโด่งดังไปทั่วประเทศและต่างประเทศในพริบตา

ให้ความเห็นกรณีปฏิทิน “รัดกุม” ขึ้น

โดย พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ด้านความมั่นคงและกิจการพิเศษ กล่าวว่า จากการตรวจสอบมีรูปของอดีตนายกรัฐมนตรีทั้ง 2 คนจริง แต่ยังไม่พบหลักฐานว่าบุคคลใดเป็นคนทำแจก

พบว่ามีการแจกที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศาลรัฐธรรมนูญ จ.อุดรธานี และ จ.อุบลราชธานี ขณะนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ตำรวจภูธรภาค 3 ภาค 4 และกองบัญชาการตำรวจสันติบาล กำลังติดตามตรวจสอบให้ชัดเจน

“ไม่น่าก่อให้เกิดความขัดแย้งเพราะมีการแจกกันมาแล้วก่อนหน้านี้ ตอนนี้ตรวจสอบ ยังไม่พบการกระทำความผิด แต่หากพบว่าทำผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายแน่นอน” รอง ผบ.ตร.ระบุ

และยืนยันว่าอดีตนายกฯ ทั้งสองยังอยู่นอกราชอาณาจักร คงไม่ใช่ผู้ทำแจกแน่นอน

 

แม้ผู้มีอำนาจในรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงจะระมัดระวังไม่ร่วมกันสาดน้ำมันเข้ากองไฟ เหมือนกรณีแรก ประเทศกูมี

แต่ก็มีคำถามจากคนที่ถูกค้นบ้านและนำปฏิทินไป

โดยสตรีที่ จ.อุดรธานี ระบุในเฟซบุ๊กว่า “…มาถามเรื่องปฏิทิน…เอามาจากไหน…ใครให้มา ก็เลยย้อนถามกลับไป แล้วมันผิดตรงไหนคะ ก็แค่เอาไว้ดูวัน/เดือน นี้หรือประเทศไทย…ข่อยล่ะงึดหลาย”

ขณะที่ฟากการเมือง นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล ที่ปรึกษากฎหมายพรรคเพื่อไทย มีความเห็นว่า คสช.ใช้อำนาจใดในการตรวจยึดปฏิทินดังกล่าว

มีการใช้อำนาจเกินขอบเขตหรือไม่ เนื่องจากการแจกปฏิทินเป็นประเพณีนิยมก่อนเทศกาลปีใหม่ตามปกติ

ขณะที่ตอนนี้ยังไม่มีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้ง ดังนั้น ผู้ผลิต ผู้แจก ไม่เข้าข่ายมีความผิดห้ามจำหน่ายจ่ายแจกสิ่งของเพื่อจูงใจ

นอกจากนั้น ยังสงสัยว่าการแจกปฏิทินที่ปรากฏภาพ 2 อดีตนายกรัฐมนตรีกับการทำกิจกรรมเดินคารวะแผ่นดินของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำพรรค รปช. กิจกรรมใดสุ่มเสี่ยงกับการเคลื่อนทางการเมืองที่เข้าข่ายความผิดมากกว่ากัน

“การตรวจยึดปฏิทิน ถูกมองว่าเป็นการกระทำในลักษณะหมาป่ากับลูกแกะ มีความพยายามจะทำทุกวิถีทางเพื่อเอาความผิด ทั้งที่ปฏิทินไม่ใช่สิ่งของผิดกฎหมาย ทั้งการผลิตหรือการแจกจ่าย ส่วนข้ออ้างเพื่อต้องการระงับยับยั้งการเผยแพร่ที่เป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยในประเทศ เนื่องจากอ้างว่ามีภาพผู้ต้องหาหลบหนีคดีของศาล เชื่อว่าบุคคลทั่วไปน่าจะใช้ดุลพินิจพิจารณาได้ ส่วนกรณีที่มีปัญหาเพราะทหารให้ความสนใจเป็นพิเศษ น่าจะทำให้ผู้ชื่นชอบ 2 อดีตนายกรัฐมนตรีอาจมีความต้องการปฏิทินชุดนี้กันทั้งประเทศ” นายวิชิตกล่าว

 

เป็นการเตือนอย่างกลายๆ จากฟากเพื่อไทยว่ากรณีนี้อาจจะทำให้ปฏิทิน “แม้ว-ปู” กลายเป็น “ความต้องการ”

อย่างกรณีที่ทำให้แร็พประเทศกูมีดัง เพราะยิ่งห้ามคนยิ่งอยากฟัง

เช่นกัน ปฏิทินแม้ว-ปู หากยิ่งกวาดจับ คนก็ยิ่งอาจต้องการ

และตรงนี้ต้องระวังเพราะใกล้เลือกตั้ง อาจไปช่วยเสริมคะแนนสงสารให้พรรคกลุ่ม “เพื่อ” ได้

แต่ฝ่ายที่กุมอำนาจจะเพิกเฉยเลยก็ไม่ได้

เพราะหากนี่เป็น “ยุทธวิธี” ตีอ้อม เพื่อหวังผลต่อการเลือกตั้ง ไม่จัดการก็ไม่ได้

เพียงแต่ทำอย่างไรให้เหมาะสม

มิเช่นนั้น กรณีปฏิทินจะนำความเสียหายมาให้อย่างกรณี “ประเทศกูมี”