อุรุดา โควินท์ / ความทรงจำ : ซอสซึ่งไม่อยู่ในนิยาย

The Moon and Sixpence เป็นนิยายเล่มโปรดของฉัน และวิลเลียม ซอมเมอร์เซ็ต มอห์ม คือนักเขียนที่ฉันทั้งรักทั้งชัง ชั่วขณะที่อ่าน ฉันเถียงกับนักเขียน ฉันด่าทอตัวละคร ฉันโกรธ

ฉันอยากจ้องตานักเขียน และถาม-หากงานศิลปะต้องแลกด้วยการทำลายทุกสิ่ง ทั้งผู้หญิง มิตรภาพ ทำลายกระทั่งตัวเองและผลงานศิลปะของตัวเอง แล้ว…จะเหลืออะไรให้เรารักได้อีกเล่า

แม้ฉันรู้สึก-วิลเลียม ซอมเมอร์เซ็ต มอห์ม เขียนด้วยวิธีคิดแบบชายเป็นใหญ่ แต่ฉันเกลียดตัวละครของเขาไม่ลง วางหนังสือเล่มนั้นไม่ได้ กระทั่งอ่านจบแล้ว ฉันยังหยิบมาอ่านซ้ำ ด้วยมุมมองที่เปลี่ยนไป

จากการอ่านครั้งที่สอง ฉันเห็นความเป็นเด็กในตัวละคร มีแต่เด็กเท่านั้นที่ล้มทุกอย่างบนโต๊ะ ปาของ กระทืบเท้า โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคือการทำลาย ความไม่รู้ทำให้ฉันรู้สึกเอ็นดู

 

ประเด็นหลักของนิยายเกี่ยวข้องกับศิลปะ การที่โลกจะขานรับศิลปินสักคน ไม่ใช่เรื่องง่าย

แต่มีอาหารจานหนึ่งอยู่ในเรื่อง โดดเด่นขึ้นทุกครั้งเมื่อฉันหันกลับไปมอง นั่นคือพาสต้า ซึ่งผู้เล่าบอกว่า มันดูชุ่มฉ่ำน่ากินกว่าพาสต้าจานไหนๆ

พาสต้าหาได้มีความหมายต่อเรื่อง ทั้งไม่มีความหมายต่อนักอ่านคนอื่น แต่ฉันไม่อาจละสายตาจากมัน อาจเป็นเพราะฉันชอบพาสต้ามาก

แต่ยังหาซอสพาสต้าของฉันไม่เจอ

ฉันชอบพาสต้า แต่ไม่กล้าทำ ไม่แน่ใจว่าควรทำ ฉันรู้ว่าต้องมีมะเขือเทศเป็นส่วนประกอบหลัก

แต่จนแล้วจนรอด ฉันไม่เคยลงมือทำ

 

ฉันหัดทำพาสต้าในอำเภอพรหมคีรี ห้วงเวลาเดียวกับที่อ่าน The Moon and Sixpence ซ้ำ พาสต้าในนิยายส่งผลต่อฉัน แต่เหตุผลที่แท้จริงมาจากเด็กๆ ในหมู่บ้าน พวกเขาร่ำร้องอยากกิน และหวังว่าฉันจะทำ

ฉันมาจากที่อื่น ที่ซึ่งทุกคนทำพาสต้าเป็น-เด็กๆ อาจคิดเช่นนี้

พวกเขาทำให้ฉันคิดถึงตัวเอง ตอนเป็นเด็กฉันอยากกินพาสต้า แม่ทำไม่เป็น ร้านอาหารเชียงรายยังมีไม่มาก และต่อให้มีพาสต้าขาย แม่ก็คงไม่พาไปกิน

เอาความกลัวและความกังวลโยนทิ้ง ฉันลองทำซอสในแบบของฉัน เท่าที่หาวัตถุดิบได้ ฉันจัดปาร์ตี้วันเด็ก ชวนเด็กๆ มาแลกของขวัญ เสิร์ฟพาสต้าซอสเนื้อและขนมหวาน

เด็กๆ ชอบกันมาก ขอเติมจานที่สองทุกคน

เริ่มจากตอนนั้น ฉันค่อยๆ พัฒนาซอสให้ถูกปากขึ้น น่าแปลกที่มันเรียบง่ายขึ้น มีเครื่องปรุงหลักเป็นซอสมะเขือเทศกับเนื้อสัตว์

จะใช้เนื้อหมูก็ได้ แต่หากกินเอง ฉันเลือกเนื้อวัว เพราะอร่อยกว่ามาก

 

อันดับแรก ฉันต้องมีมะเขือเทศเนื้ออย่างน้อยแปดลูกอ้วนๆ ลงมีดอย่างเบาบนเนื้อมะเขือเทศให้เกิดรอยกากบาท ตั้งน้ำให้เดือด แล้วหย่อนมะเขือเทศลงไปทั้งลูก ต้มกระทั่งรอยแผลบนผิวปริออก ตักมะเขือเทศออกจากน้ำร้อน พักไว้ให้เย็นลง แล้วลอกเปลือกทิ้ง

บางคนใช้แต่เนื้อมะเขือเทศ ฉันเสียดาย ใช้หมดทั้งลูก สับหยาบๆ ใส่หม้อเตรียมไว้

เพื่อนบอกว่า ใช้มะเขือเทศกระป๋องก็ได้ สะดวกกว่า ราคาถูกกว่ามะเขือเทศสด

ฉันเคยลองทำตามเพื่อน ก่อนได้ข้อสรุป-ฉันชอบมะเขือเทศสดมากกว่า

ถามเพื่อน-ผิดมั้ย ถ้าจะทำซอสพาสต้าตามใจลิ้น

เพื่อนยักไหล่ แล้วย้อนถาม เธอคิดว่าคนอิตาลีทำซอสเหมือนกันทุกบ้านมั้ย

แน่นอนว่า-ไม่

ดังนั้น ซอสพาสต้าของฉันก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนของเธอ

แต่เราใช้หอมหัวใหญ่เหมือนกัน ราวหนึ่งลูกครึ่ง หั่นเต๋าเล็กๆ ผัดไฟอ่อนจนใส แล้วจึงใส่เนื้อวัว เร่งไฟขึ้นมานิด ผัดให้เนื้อสุกราว 70 เปอร์เซ็นต์ ค่อยใส่เซเลอรี่สับและแคร์รอตสับ ผัดต่อให้ทุกอย่างสุก จึงเทส่วนผสมจากกระทะลงหม้อที่มีมะเขือเทศรอ เติมน้ำนิดหน่อย เบาไฟอ่อน เคี่ยวไปเรื่อยๆ

ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทยดำบดหยาบ และเครื่องเทศอิตาเลี่ยนแบบรวม, กรณีที่มีติดบ้าน หากไม่มี ฉันจะใส่เครื่องเทศเท่าที่มี เช่น ใบกระวาน

บางครั้ง ไม่มีเซเลอรี่กับแคร์รอต ฉันใส่แต่มะเขือเทศกับหอมใหญ่ บางวันเจอโรสแมรี่สดๆ ฉันใช้มันเป็นเครื่องเทศชนิดเดียว สับให้ละเอียด แล้วผัดตั้งแต่เริ่มแรก ให้กลิ่นหอมฟุ้งครัว

บางวันฉันใช้เนื้อหมูปนกับเนื้อวัว

อีกนั่นล่ะ บางวันมีเบคอนเหลือติดตู้เย็น ฉันจับมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ผัดดึงน้ำมันออกมาเสียก่อนแล้วค่อยผัดหอมใหญ่กับเนื้อ

 

นี่อาจไม่ใช่ซอสที่ถูกต้อง แต่เป็นซอสเนื้อซึ่งถูกสุขอนามัย ถูกปากฉัน ถูกปากเพื่อนหลายคน และถูกใจคนข้างตัว

อาหารไม่ใช่ความถูกต้องเท่านั้น ไม่ใช่พิธีกรรม ทั้งอาหารไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว อาหารมักแปรเปลี่ยนไปตามแม่ครัว ตามสภาวะแวดล้อมของมัน

หากสถานที่ซึ่งฉันอยู่ไม่มีน้ำมันมะกอกขาย หรือบังเอิญมันหมด ฉันลืมซื้อ พาสต้าย่อมไร้น้ำมันมะกอก แต่ฉันก็กินอย่างอร่อยและสบายใจอยู่ดี

อาหารที่ดีของฉัน ไม่ใช่อาหารหรูหรา หรือตรงตามต้นตำรับ แต่หมายถึงอาหารที่ฉันกินด้วยความไว้วางใจ (แม้ปรุงภายใต้ข้อจำกัด)

วางพริกทอดสักเม็ดบนพาสต้า เพราะฉันชอบกัดพริก

แต่งหน้าด้วยโหระพา เพราะมันมีอยู่ในตู้เย็น

 

ฉันคลุกเส้นบนความร้อน เทเส้นที่ต้มแบบยังไม่สุกดีลงกระทะ ฉันชอบให้ซอสกับเส้นได้เจอไฟด้วยกันสักครู่ ปิดเตา หยอดน้ำมันมะกอกลงไป คลุกอีกครั้ง แล้วค่อยตักลงจาน

ซอสเนื้อของฉันไม่เหมือนซอสพาสต้าของตัวละครใน The Moon and Sixpence

แต่ทุกครั้งที่ทำ ฉันอยากบอกวิลเลียม ซอมเมอร์เซ็ต มอห์ม -นี่ไงพาสต้าฝีมือหญิงผู้มีรักเป็นแรงขับเคลื่อนงานศิลปะ

“มันอร่อยด้วยล่ะ” บางครั้งฉันหลุดปากพูด

รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ได้ยิน